กรรมตามทัน
1. ผึ้งกอไผ่
ทุกปีข้าพเจ้าพยายามเก็บรวบรวมเงิน ที่ได้จากการไปสวดมนต์ตามบ้านชาวพุทธที่ทำบุญบ้านและสวดมาติกาบังสุกุลงานศพ เพื่อกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่และพี่น้องเพื่อนฝูงที่เคยบวชเรียนด้วยกันมา ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าพี่เณรสำเร็จซึ่งไปเกณฑ์ทหารโชคดีจับได้ใบแดงจึงต้อง ลาสึกเพื่อไปฝึกทหารที่จังหวัดอุดรธานีเป็นเวลาสองปี พอออกจากทหารได้ไม่นานก็ตาบอดสองข้าง จึงเดินทางไปเยี่ยมที่บ้าน เขาดีใจมากที่รู้ว่าข้าพเจ้าไปเยี่ยม หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้วข้าพเจ้าก็วกมาถามเรื่องตาบอดสอง ข้าง เขาถอนหายใจก่อนเล่าว่า หลังออกจากทหารได้เพียงปีกว่า เช้าวันนั้นอากาศหนาวมาก เพราะตรงกับงานสมโภชน์พระธาตุพนมพอดี ขณะที่นั่งผิงแดดอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านรอแม่กลับจากนำอาหารไปถวายพระที่วัด ฉับพลันหูสองข้างก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึงเหมือนฝูงผึ้งบินผ่านหน้าบ้านจึงแหงนมองตามเสียงไปแต่ไม่เห็นมีผึ้งสักตัว เสียงอื้ออึงนั้นดังผ่านไปผ่านมาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันดวงตาสองข้างเริ่มพล่ามัวมองเห็นเพียงเลือนลางและมืดบอดมองไม่เห็นอะไรเลย พอแม่กลับจากวัดจึงเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง หลายวันต่อมาพ่อกับแม่จึงให้น้องชายพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลในเมืองสกลนคร หมอตรวจแล้วบอกว่าตาทั้งสองข้างเป็นต้อหินเรื้อรังมานานจึงบอดในที่สุด ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ผมคงต้องเป็นคนตาบอดอย่างนี้ไปตลอดชีวิต ไม่รู้มันเป็นเวรกรรมอะไรของผม ข้าพเจ้าฟังเขาเล่าด้วยความสงสารสลดหดหู่ อดคิดไม่ได้ว่ามันคงเป็นเวรกรรมของการพาสามเณรบวชใหม่ไปก่อไฟรมควันผึ้งกอไผ่เพื่อทำให้แม่ผึ้งดวงตาพร่ามัวมองไม่เห็นก่อนแย่งน้ำหวานและลูกผึ้งมากิน แต่ไม่กล้าเสนอความเห็นเพราะเกรงจะเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจพี่ทิดเขา ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดกลัวเรื่องนี้ไม่น้อยเพราะเคยทำกรรมนั้นร่วมกัน แต่ก็พยายามทำใจให้พร้อมที่จะยอมรับชะตากรรม ทำบุญนั่งสมาธิภาวนาครั้งใดก็จะอุทิศส่วนกุศลถึงผึ้งกอไผ่เหล่านั้นเสมอเพื่อขอโทษ และขอให้พวกเขาอโหสิกรรมให้ ข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านครั้งใดก็จะนำของฝากไปเยี่ยมพี่ทิดสำเร็จทุกครั้ง เพื่อให้กำลังใจ เขายังโชคดีอยู่บ้างที่ยังไม่มีครอบครัว จึงไม่มีลูกเมียมารับกรรมด้วย เขาทนทุกข์ทรมาณอยู่ในโลกมืดเป็นเวลานานร่วมยี่สิบปีจึงเสียชีวิต
กรรมตามทัน
2. ต้มไก่ทั้งเป็น
ข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน จึงแวะไปเยี่ยมพี่ทิดสำเร็จที่บ้านเหมือนปีก่อน ๆ ได้พบทิดวีเพื่อนเก่าสมัยบวชเป็นสามเณรไปรมผึ้งกอไผ่ด้วยกัน หลังจากพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้ว ทิดวีก็เล่าให้ฟังว่า วิภาลูกยายใบเตยหลานป้าสีซึ่งเป็นญาติข้างคุณพ่อของข้าพเจ้า หลังจากแต่งงานออกเรือนแล้ว เธอกับสามีได้ปลูกบ้านใต้ถุนสูงฝาแถบใบตองอยู่ท้ายหมู่บ้าน สามีวิภาเป็นนักพนันอาชีพ มีปกติเดินสายเล่นการพนันตามที่ต่าง ๆ สี่ห้าวันกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง บางครั้งเดินสายเล่นการพนันไกลหายหน้าไปเป็นเดือน ขณะนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษาหน้านา วิภากำลังท้องแก่ เวลากลางวันผู้คนในหมู่บ้านพากันออกไปทำนากันหมด ไก่ของเพื่อนบ้านใกล้เคียงมักจะพากันมาหากินที่ใต้ถุนบ้านของวิภาเป็นประจำ วิภาทำทีขึ้นไปนอนบนบ้าน โปรยข้าวสารลงในปล่องปัสสาวะซึ่งชาวบ้านนิยมเจาะไว้บนกระดานพื้นบ้านเพื่อความสะดวกในการขับถ่ายเวลากลางคืน พอไก่วิ่งมารุมกินข้าวสารวิภาก็หย่อนเขียงขนาดใหญ่ลงมาทับ หลัง ๆ มาไก่มันก็เข้ามากินอย่างระมัดระวังทำให้การหย่อนเขียงทับไม่ได้ผล แต่ก็ทำให้ไก่บาดเจ็บขาหักไปหลายตัว จึงใช้เบ็ดเกี่ยวข้าวเหนียวก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือหย่อนลงไป โปรยข้าวสารลง พอไก่เห็นข้าวสารก็พากันวิ่งกรูมากินด้วยความหิว ไก่บางตัวกินก้อนข้าวเหนียวติดเบ็ดเข้าไป วิภาก็จะดึงขึ้นไปบนบ้าน ฆ่าทำอาหาร ทิดวีสังเกตเห็นไก่ที่เลี้ยงไว้ได้รับบาดเจ็บ ขาหักและร่อยหรอลงทุกวันก็เกิดความสงสัย เช้าวันหนึ่งจึงทำทีไปทำนาตามปกติ แล้วย้อนกลับมาแอบดู สักพักหนึ่งก็เห็นไก่ที่ใต้ถุนบ้านของวิภาแตกฮือและเห็นไอ้โต้งของแกห้อยโตงเตงที่ใต้ถุนบ้านวิภาลอยหายลับขึ้นไปบนบ้าน ทิดวีจึงไปตามเพื่อนมาค้นบ้าน ขณะนั้นวิภากำลังนั่งเฝ้าหม้อนึ่งข้าวอยู่ เธอบอกให้ค้นตามสบาย ทิดวีกับเพื่อนค้นหาจนทั่วบ้านแต่ไม่พบไอ้โต้ง จึงพากันลงจากบ้านไปและกลับมาแอบดูอีกครั้ง เห็นวิภากำลังจับไอ้โต้งออกจากหม้อนึ่งที่กำลังเดือดจัดออกมาถอนขนเพื่อทำอาหาร แม้จะรู้สึกเสียดายไก่ แต่เมื่อเห็นสภาพของวิภาซึ่งกำลังท้องแก่ใกล้คลอดกำลังหิวอาหารจึงต้องจำใจเสียสละ สองเดือนต่อมา วิภาคลอดลูกออกมาเป็นชาย แต่..อนิจจา ! หัวเข่าลูกชายของวิภาหันกลับไปด้านหลัง เหมือนหัวเข่าไอ้โต้งที่วิภาจับหักไปด้านหลังก่อนยัดลงหม้อนึ่งอย่างรีบร้อน ชาวบ้านที่มาเยี่ยมต่างวิพากวิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา สามีของวิภาหนีไปโดยไม่กลับมาอีกเลย สามเดือนต่อมาลูกชายของวิภาก็ตาย วิภาได้สารภาพผิดและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทิดวีฟังพร้อมทั้งขอโทษ เธอบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะความหิว หลังจากลูกชายตายสามีทิ้ง เธอก็หมั่นไปวัดทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และหนึ่งปีหลังจากนั้นวิภาได้สามีใหม่เป็นคนดี มีลูกที่น่ารักและมีครอบครัวที่อบอุ่น
พระธรรมจาริก
ทางมหาวิทยาลัยมีโครงการให้พระนิสิตที่เรียนปีสุดท้ายไปเทศน์อบรมประชาชนและทำรายงานเรื่องศาสนาอื่นที่มีในประเทศไทย ข้าพเจ้าเสนอขอทำรายงานเรื่องศาสนาอิสลาม จึงถูกส่งไปศึกษาเรื่องศาสนาอิสลามในจังหวัดนครศรีธรรมราช การไปศึกษาศาสนาอิสลามที่ปอเนาะและมัสยิดให้ใช้ความสามารถส่วนตัว ส่วนการไปอบรมประชาชนให้ไปตามกำหนดการที่ทางมหาวิทยาลัยได้ติดต่อประสานงานกับทางจังหวัดไว้แล้ว ข้าพเจ้ากับเพื่อนสองรูปนั่งรถไฟสายใต้เป็นครั้งแรกในชีวิต นั่งชมวิวทิวทัศน์หัวสั่นหัวคลอนไปตลอดทาง หลับตาครุ่นคิดถึงภารกิจที่ต้องไปทำว่าจะสำเร็จหรือไม่ จะนำเอาธรรมหมวดไหนไปฝากญาติโยมชาวใต้ จะอธิบายธรรมอย่างไรให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ได้สาระและความบันเทิงไปพร้อมกัน พยายามทบทวนวิธีการอธิบายธรรมของหลวงพ่อปัญญานันทะ และหลวงพ่อพุทธทาส ตลอดถึงเกร็ดความรู้จากการฟังอภิปราย โต้วาทีและความรู้จากตำราเรียน ร้อยเรียงเป็นแนวทางในการเทศน์ การอภิปรายให้ญาติโยมชาวใต้ซึ่งกำลังรอเราอยู่ รถไฟจอดที่สถานีแต่ละครั้งก็ลืมตาตื่น สังเกตดูความเปลี่ยนของผู้คนที่เดินขึ้นลงมีผิวคล้ำหน้าตาคมคาย และพูดเร็วมากจนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อรถไฟจอดที่สถานีนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้ากับเพื่อน ขึ้นสามล้อคนละคันไปวัดเสาธงทองซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกาย เข้าไปกราบและยื่นหนังสือของมหาวิทยาลัยสงฆ์ให้ท่าน ได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง ท่านสั่งให้สามเณรพาไปพักที่ศาลาการเปรียญชั้นบน ห้องข้างล่างมีสีกาสาวสวยวัยรุ่นซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้าคณะจังหวัดพักอยู่เพื่อเรียนในโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัด หลวงพี่ชาวใต้ท่านหนึ่งที่พักอยู่กุฏิใกล้ ๆได้แวะมาคุยด้วย ท่านเล่าเรื่องต่าง ๆให้ฟังมากมาย และลงท้ายด้วยเรื่องเจ้าคณะจังหวัดซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าเจ้าคณะจังหวัดเป็นคนอำเภอหัวไทร คนอำเภอหัวไทรส่วนใหญ่ผิวขาวหน้าตาดี แต่นักเลงต้องเรียกพี่ ถึงกับมีคำพูดในหมู่ผู้ชายเผ่าชีกอว่า ใครที่ยังไม่เคยติดคุกอย่าสะเออะไปขอลูกสาวคนอำเภอหัวไทรเป็นอันขาด คล้ายเป็นการปรามว่าอย่าเผลอไปสนทนากับสีกาสาวสวยห้องข้างล่างเป็นอันขาด ข้าพเจ้าขอบคุณหลวงพี่ก่อนแยกย้ายกันไปนอน หลังจากไหว้สวดมนต์นั่งสมาธิและแผ่เมตตา ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ตีห้า แล้วล้มตัวลงนอน หลับไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง สะดุ้งตื่นเพราะเพื่อนปลุก แสงไฟจากหลอดตูมกาที่ห้อยโตงเตงที่เสาไม้ไผ่กลางลานวัดส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ทำให้มองเห็นชาวบ้านกำลังขนแคร่ไม้ไผ่มาตั้งกลางลานวัด ไม่นานนักก็เห็นพ่อค้าแม่ค้าขนสินค้ามาจัดวางบนแคร่ ข้าพเจ้ารีบไปทำธุระส่วนตัวแล้วกลับมานั่งสมาธิเรียบเรียงเรื่องราวธรรมที่จะนำไปบรรยายที่อำเภอท่าศาลาที่เตรียมเป็นเดือนอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เป็นการท่องจำให้ได้ทุกคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะสำหรับผู้ที่ยังใหม่เรื่องการพูดต่อหน้าคนหมู่มากนั้น สิ่งที่เตรียมจะพูดมักจะลืมเป็นบางส่วนเสมอ อาจารย์เคยชี้แนะเรื่องการแก้ไขปัญหาความประหม่าเมื่อต้องพูดต่อหน้าสาธารณะว่า เมื่อเราขึ้นพูดต้องคิดว่าผู้ฟังคือตอไม้ แต่ถ้ายังแก้ปัญหาความประหม่าไม่ได้ก็ให้คิดว่า ณ ที่แห่งนี้มีเราเท่านั้นที่เป็นคน นอกนั้นเป็นหมา
ท่าศาลา
หลัง จากฉันเช้าเสร็จไม่นานพระธรรมทูตประจำอำเภอท่าศาลาได้นำรถมารับข้าพเจ้าไป ร่วมเทศน์อบรมประชาชนที่หอประชุมอำเภอท่าศาลา ส่วนเพื่อนแยกไปอีกคณะหนึ่ง เมื่อเดินทางถึงสถานที่ทางอำเภอจัดไว้ปรากฏว่ามีประชาชนมานั่งรอที่หอประชุม หลายร้อยคน ที่ทำให้ประหม่าตื่นเต้นดีใจมากที่สุดคือมีอาจารย์ของข้าพเจ้าที่เป็นฆราวาส ซึ่งเคยสอนเรื่องการพูดต่อหน้าสาธารณะรวมอยู่ในนั้นด้วย ท่านอาจารย์เป็นคนท่าศาลา ข้าพเจ้าคิดว่าท่านอุตส่าห์เดินทางมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้คงไม่ใช่เพื่อมาฟัง ลูกศิษย์บรรยายธรรมเป็นแน่ ในที่สุดก็ถึงบางอ้อเมื่อพิธีกรแนะนำว่าท่านจะเล่นการเมืองหลังจากเกษียณ อายุราชการในกระทรวงหลังเดือนกันยายนแล้ว ท่านมากระซิบข้าพเจ้าด้วยความเป็นห่วงกลัวจะพูดเลยเถิดจนหาทางลงไม่เจอว่า ให้เวลาไม่เกิน 30 นาทีนะ บ่ายวันนั้นข้าพเจ้าต้องเสียมารยาทในใจอย่างแรง เพราะต้องนึกว่าผู้ฟังเป็นตอไม้และท่านอาจารย์เป็นหมานั่งอยู่ข้างตอไม้ตาม คำชี้แนะของท่านอาจารย์ หลังจากพระธรรมทูตประจำจังหวัดบรรยายธรรมจบแล้วก็ให้ข้าพเจ้าได้บรรยายธรรม บ้าง ข้าพเจ้าเริ่มต้นว่าได้ฟังธรรมบรรยายของพระธรรมทูตประจำอำเภอท่าศาลาแล้วรู้สึกมีความสุข ประทับใจ การบรรยายธรรมของท่าน งดงามทั้งในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด ส่วนอาตมาเพิ่งหัดใหม่ยังไม่เชี่ยวชาญในอรรถในธรรมมากนัก ที่มาไกลถึงอำเภอท่าศาลาแห่งนี้ก็มาตามโครงการของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งคณะสงฆ์ไทยที่อาตมาเรียนอยู่ปีสุดท้าย นอกจากมาบรรยายธรรมแล้วยังต้องเขียนรายงานเรื่องศาสนาอิสลามด้วย ทางอีสานบ้านอาตมาไม่มีศาสนาอิสลาม จึงต้องเดินทางมาไกลถึงปักษ์ใต้บ้านเรา รู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นญาติโยมมาฟังกันมากแม้จะรู้ว่าหลายท่านถูกเกณฑ์ให้ มาฟังก็ตาม และที่ดีใจสุด ๆ คือได้พบท่านอาจารย์ที่สอนหลักการพูดให้อาตมาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ เพิ่งทราบวันนี้เองว่าท่านเป็นคนท่าศาลา ทราบจากพิธีกรว่าหลังเกษียณอายุราชการที่กระทรวงแล้วท่านจะลงเล่นการเมือง จึงขอฝากว่าท่านอาจารย์เป็นคนดีมีน้ำใจมีความรู้ความสามารถเหมาะสมมากที่สุด คนหนึ่ง เข้าคูหากากบาทให้อาจารย์ของอาตมาด้วย รับรองว่าพ่อแม่พี่น้องจะได้ ส.ส.ที่เป็นเสมือนแก้วสารพัดนึกอย่างแน่นอน หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ได้ทรงประทับนั่งใต้ต้นสาละ ทรงระลึกถึงชาติปางก่อนย้อนอดีตหลายแสนชาติ เมื่อทรงพบว่าในแต่ละชาติพระองค์ได้เกิดเป็นอะไรมาบ้าง พระองค์ถึงกับรำพึงออกมาว่า สังสารวัฏนี้ยาวนานหนอ ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้คนที่ไม่เคยเกิดเป็นสามีภรรยากันมาก่อนย่อมไม่มี ผู้หญิงที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชายและผู้ชายที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิงก็ไม่มี อีกเหมือนกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมดีและกรรมชั่วเป็นตัวกำหนดให้คนเราไปเกิดเป็นนั่น เป็นนี่ ที่นั่นที่นี่และมีนั่นมีนี่ อาตมาคงทำกรรมที่ไม่ดีนักจึงต้องพลัดพรากจากพี่น้องชาวใต้ไปเกิดอยู่ไกลถึง อีสานดินแดนที่แห้งแล้งและกันดาร แต่กรรมดีก็คงพอมีอยู่บ้างที่ทำให้ได้บวชเรียนและได้กลับมาเยี่ยมญาติพี่ น้องชาวใต้บ้านเรา โดยเฉพาะชาวอำเภอท่าศาลาซึ่งล้วนแต่เคยเป็นญาติพี่น้องอาตมาทั้งนั้น ข้าพเจ้าชำเลืองดูท่านอาจารย์เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คงพอใจที่เห็นลูกศิษย์เดินตามรอยเท้าได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะดูสะเปะสะปะไปบ้างแต่ไม่ถึงกับทำให้ท่านอาจารย์อับอายขายหน้า ข้าพเจ้าสาธยายต่อไปว่า ญาติโยมคงจะเคยเห็นพระพุทธรูปยกสองมือที่เราเรียกว่าพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปห้ามพระประยูรญาติของพระองค์ ที่แย่งน้ำทำนาจนเกิดศึกสงคราม หลังจากห้ามศึกสงครามครั้งนั้นแล้วพระองค์ได้เทศน์หลักธรรมสำหรับการอยู่ ร่วมกันในสังคมหรือสังคหะวัตถุธรรม 4 ประการได้แก่
1. ทาน คือ การให้ การให้นอกจากได้บุญแล้วยังได้เป็นที่รักของผู้รับอีกด้วย เช่นคนอีสานที่ลงมารับจ้างกรีดยางถางป่าให้พี่น้องชาวปักษ์ใต้บ้านเรา พอกลับไปถึงบ้านต่างพากันบอกเล่าให้ลูกหลานฟังต่อ ๆ กันว่า คนใต้ใจดี ถ้าไม่มีกินขอได้ คนใต้จึงเป็นที่รักของคนอีสาน ในขณะเดียวกันคนอีสานก็ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งให้นายจ้างจึงเป็นที่รัก ของนายจ้างซึ่งเป็นคนใต้ ญาติโยมมีกับข้าวอร่อยก็ใส่บาตรให้พระเณร พระเณรตาเถรยายชีมีชีวิตอยู่ได้เพราะญาติโยม ญาติโยมจึงเป็นที่รักของพระเณรตาเถรยายชี พระเณรตาเถรยายชีนั่งสมาธิอวยพรให้โยม นำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาเล่าให้โยมฟัง งวดไหนได้เลขเด็ดบอกญาติโยมตรง ๆไม่ได้เพราะเป็นอาบัติ ก็ทำทีเป็นใบ้ยกตีนยกมือยักคิ้วหลิ่วตา วาสนาโยมมีก็จะแปลถูกเองนั่นแหละ พระเณรตาเถรยายชีจึงเป็นที่รักของญาติโยม บ้านใต้มีเกลือบ้านเหนือมีปลาก็ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน จึงเกิดเป็นเพลง ใครมีมะกรูดเอามาแลกมะนาว ใครมีลูกสาวเอามาแลกลูกเขย เอาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละลา เพราะการให้กันไปให้กันมานี่แหละญาติโยมจึงได้ลูกเขยกลองยาวและลูกสะใภ้ฉิ่ง ฉับ ครอบครัวสุขสันต์ และบ้านเมืองสงบสุข สรรพสิ่งในโลกอยู่ได้ด้วยการให้และการรับเสมอ ให้อย่างเดียวไม่รับมาบ้างก็หมด รับอย่างเดียวไม่ให้คนอื่นบ้างก็ไม่มีที่เก็บ ถ้าหายใจเข้าคือการได้มาและหายใจออกคือการให้ไป การหายใจเข้าอย่างเดียวไม่ถึงห้านาทีเราก็ตาย และหายใจออกอย่างเดียวไม่ถึงห้านาทีเราก็ตายอีกเหมือนกัน กินอย่างเดียวไม่ยอมถ่ายก็ตาย ถ่ายอย่างเดียวไม่ยอมกินก็ตายอีก ชีวิตจะมีความสุขต้องปรับให้สมดุลทั้งการให้และการรับ การให้ในความหมายของคำว่าทานมีสามอย่างคือให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ความรู้และให้อภัย พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อเราได้ทรัพย์มาให้แบ่งเป็นสี่ส่วนดังนี้
ส่วนที่ 1 ฝังดินไว้ หมายถึงเก็บสะสมไว้ใช้เมื่อคราวจำเป็นส่วนนี้สำคัญมาก ต้องพยายามให้มีเหลือเก็บทุกวัน สมัยก่อนเก็บเงินใส่กระบอกไม้ไผ่ฝังดินไว้ ก็ปลอดภัย แต่สมัยนี้เงินเป็นกระดาษจึงไม่ควรทำเพราะเงินจะผุ หรือไม่ก็ปลวกกิน ฝากแม่บ้านจะดีที่สุดเพราะเบิกง่าย ขโมยสะดวก แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยก็ต้องฝากธนาคาร
ส่วนที่ 2 ทิ้งลงเหว หมายความว่าแบ่งใช้ สำหรับซื้ออาหารและสิ่งของเครื่องใช่ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ควรซื้อแบบเหมาตลาด เพราะเงินส่วนนี้ใช้แล้วก็หมดไปเหมือนทิ้งลงเหว
ส่วนที่ 3 ลงทุนหมายความว่าให้นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนค้าขาย หรือด้วยการให้เงินลูกไปโรงเรียน การให้เงินลูกไปโรงเรียนถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะถ้าลูกเราประสบความสำเร็จมีงานทำมีรายได้ เขาก็จะกลับมาดูแลเรา ถ้าลูกไม่ประสบความสำเร็จหรือเป็นคนอกตัญญู ก็ให้ทำใจว่ามันอาจจะเป็นเพราะกรรมเก่าของเราที่ไม่เคยตอบแทนบุญคุณของพ่อ แม่ และเพื่อกันพลาดจึงควรลงทุนสำหรับชาติหน้าด้วยการทำบุญทำทาน เช่นทำบุญตักบาตร ช่วยเหลือคนที่ลำบากขัดสน เป็นต้น เพื่อจะได้ไปเกิดในภพชาติใหม่ที่สุขสบาย
ส่วนที่ 4 ใช้หนี้เก่าโดยการให้เงินพ่อแม่ใช้บ้าง ซื้ออาหารอร่อยมาฝากท่านบ้าง ถ้าอยู่ไกลกันก็หมั่นไปเยี่ยมท่านเสมอเพื่อให้กำลังใจ เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยเลี้ยงดูเรามา ถ้าหากพ่อแม่เราเสียชีวิตแล้วก็หมั่นทำบุญตักบาตรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ ท่าน เพราะเมื่อเราทำดีใช้หนี้เก่าให้พ่อแม่ ลูก ๆ ของเราจะซึมซับความดีนี้ไว้และตอบแทนเราเช่นเดียวกัน
2. ปิยวาจา หมาย ถึงการกล่าววาจาอันเป็นที่รัก ได้แก่การกล่าวถ้อยคำที่เป็นความปรารถนาดีที่กลั่นออกมาจากความจริงใจที่ทำ ให้ผู้ฟังปลื้มอกปลื้มใจ ดีใจประทับใจ มีความสุขที่ได้ฟัง ฟังแล้วก็ติดใจอยากฟังอีก ดังนั้นก่อนที่ญาติโยมจะพูดกับใครว่าอย่างไรควรนึกถึงผู้ฟังก่อนเป็นอันดับ แรกว่าเขาจะดีใจและมีความสุขกับคำพูดที่เราจะพูดหรือไม่ บางครั้งปิยวาจาจึงอาจจะไม่ใช่ความจริง เพราะการพูดความจริงบางอย่างก็อาจทำร้ายผู้ฟังได้ เช่นคุณหมอตรวจคนไข้รู้ว่าเขาเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายต้องตายภายในสามเดือน ถ้าคุณหมอพูดความจริงให้คนไข้ฟัง คนไข้อาจหมดกำลังใจและตายเร็วขึ้น คุณหมอจึงต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง และพยายามพูดให้กำลังใจแก่คนไข้แทน ถ้าเราฝึกพูดปิยวาจาจนติดเป็นนิสัยก็จะเกิดความรักความสามัคคีและความสุขแก่ ทุกคนที่ได้สนทนากับเรา โบราณว่าพูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากมีสีเพราะโดนชก สุนทรภู่สอนว่า
เป็นมนุษย์ สุดนิยม เพราะลมปาก
จะได้ยาก โหยหิว เพราะชิวหา
ถ้าพูดดี มีคน เข้าเมตตา
จะพูดจาจง พิเคราะห์ ให้เหมาะความ
ส่วนอาตมาได้เขียนเป็นคำกลอนสอนตัวเองว่า
ถ้าพูดดี ก็จะมี ศรีที่ปาก
หากพูดมาก ปากก็อาจ จะมีสี
ปลาหมอตาย เพราะปากตน พ่นวารี
มนุษย์นี้ ตายเพราะปาก อยากกวนตีน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปิยวาจาดีที่สุด
3. อัตถะจริยา หมายถึง การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสถานที่หรือสังคมที่ตนอยู่ เช่นเป็นสมาชิกทีดีของชุมชนในระบอบประชาธิปไตย ไปเลือกตั้งอย่างสุจริต ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ให้เงินเอา ให้เหล้าก็เอาไปขายต่อ พอเข้าคูหากาให้ท่านอาจารย์จุด ๆ ๆ ….คนที่เรารัก (ชาวบ้านหัวเราะครืน ส่วนท่านอาจารย์ยิ้มอย่างพอใจ)
4. สมานัตตะตา หมายถึงการวางตนเหมาะสม หรือการวางตัวเสมอต้น เสมอปลาย เมื่อชีวิตประสบความสำเร็จ เคยประพฤติตัวอย่างไร ก็ประพฤติอย่างนั้น ไม่เหย่อยิ่งจองหอง เคยเคารพรักหรือนับถือกันอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ต่อหน้าคุณแม่คะคุณพ่อขา พอลับหลังอีห่าไอ้ผี ต้องดีทั้งต่อหน้าและลับหลังจึงจะสมควรแก่บุญคุณที่พ่อตาแม่ยายพ่อปู่แม่ย่าเขายกลูกสาว ลูกชายให้เป็นสามีภรรยาของเรา
คุณธรรมทั้ง 4 ข้อนี้ คือ คาถามหาเสน่ห์ หรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อื่นไว้ ถ้าญาติโยมทั้งหลายอยากมีเสน่ห์ให้คนรักคนหลง ก็จงปฏิบัติตามพระคาถาทั้ง 4 ข้อให้ครบ เพราะดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ขอให้ท่องให้ขึ้นใจว่า ทา ปิ อัต สะ หรือท่องเป็นคำกลอนว่า โอบอ้อมอารี วจีไพเราะ สงเคราะห์สังคม วางตนเหมาะสม เป็นเสน่ห์มหานิยม คนรักชื่นชมเอย ท่องได้แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันลองดูนะโยม ถ้าได้ผลดีประการใดให้คิดถึงพระพุทธเจ้าของเราผู้แสดงธรรมเรื่องนี้ ถ้าปฏิบัติแล้วมีปัญหาให้ไปถามพระอาจารย์ที่วัดเอาเองเทอญ
การบรรยายธรรมของพระธรรมจาริกจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งได้นำเอาสังคหะวัตถุธรรม หรือหลักธรรมสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขนำมาบรรยายให้ญาติโยมชาวอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับฟัง ประจำปีพุทธศักราช 2517 ก็จบลงเพียงเท่านี้
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนะตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และคุณความดีที่ทั้งหลายได้ร่วมกระทำบำเพ็ญในวันนี้ ได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลายพร้อมครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย จงประสบแต่ความสุขความเจริญ มีอายุยืนยาว มีผิวพรรณผ่องใส มีความสุข มีกำลังกายกำลังใจเข้มแข็ง มีสติปัญญาเฉียบแหลม และร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีทุกท่านทุกคน เทอญ
ใช้เวลาในการบรรยายธรรม 35 นาทีพอดี เกินไป 5 นาที ก็พยายามพูดให้เร็วที่สุดแล้วแต่เนื้อหาที่เตรียมมายาว จะตัดออกตอนหนึ่งตอนใดก็กลัวจะลืมที่ท่องจำมา ท่านอาจารย์ก็ดูจะพอใจส่วนญาติโยมล้วนสีหน้าเบิกบาน ข้าพเจ้าขึ้นรถที่ทางอำเภอท่าศาลาจัดให้เดินทางกลับวัดเสาธงทองด้วยความโล่งใจ ไม่นานนักเพื่อนที่ไปบรรยายธรรมที่อื่นก็เดินทางมาถึง เพื่อนคุยถึงเรื่องการบรรยายธรรมครั้งแรกด้วยความดีใจที่สามารถทำได้ ส่วนข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์ในการเทศน์หลายครั้งจึงรู้สึกสบาย ๆ หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้ว หลวงพี่มาคุยด้วยเช่นเคย ที่สำคัญมีสีกาสาวสวยวัยรุ่นคนนั้นมานั่งร่วมวงคุยด้วย เธอบอกว่าเพิ่งเข้ามาเรียนหนังสือ จึงยังพูดภาษาไทยกลางไม่คล่อง อยากฝึกพูดภาษาไทยกลางบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่า อ้าวเหรอ งั้นเหมาะมากเลย เพราะพวกหลวงพี่ก็อยากฝึกพูดภาษาใต้เหมือนกัน พวกเราคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษากันอย่างสนุก จนใกล้ค่ำจึงแยกย้ายกันไปนอน ข้าพเจ้ากางมุ้งไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิเพื่อทำใจให้สงบแต่ภาพใบหน้าดวงตา รอยยิ้มและคำพูดที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของหญิงสาวคนนั้นผุดขึ้นรบกวนจนทำให้จิตคิดฟุ้งซ่าน ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนพยายามข่มตาหลับ ดึงจิตให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแต่ไม่เป็นผล เพราะจิตวนเวียนคิดถึงแต่ภาพที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ยินจึงลุกขึ้นนั่งเจริญมรณานุสสติ คือการนึกถึงความตาย ไม่นานนักจิตก็สงบ จึงล้มตัวลงนอนและหลับอย่างเป็นสุข
ทีมงาน
หลังฉันเช้าที่กุฏิเจ้าอาวาสแล้วทุกวัน ยกเว้นวันโกนกับวันพระ ข้าพเจ้าต้องขึ้นรถไปกับคณะพระธรรมทูตประจำอำเภอเมือง เพื่อไปบรรยายธรรมตามวัดในหมู่บ้านต่าง ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกปลอดโล่งใจที่ได้ไปร่วมกับคณะพระธรรมทูตประจำอำเภอเมืองจำนวน 3 ท่าน แต่ละท่านมีตำแหน่งเป็นพระครูผู้อาวุโสและเป็นพระนักเทศน์ระดับปรมาจารย์ ญาติโยมได้ทั้งเนื้อหาสาระและได้หัวเราะต่ออายุ เพราะแต่ละท่านสรรหาประดิษฐ์และประดอยถ้อยคำสำนวนโวหารในการอธิบายขยายความหัวข้อธรรมที่ยากให้เข้าใจง่ายกระชับสนุก เหมือนเปิดของที่คว่ำอยู่ให้ชูหงายเหมือนเปิดไฟในที่มืด โดยใช้ภาษาใต้ในการอธิบายเป็นส่วนใหญ่ ส่วนข้าพเจ้าใช้ภาษาไทยใต้ที่ฝึกหัดกับสีกาสาวมาเป็นไตเติ้ลเพื่อเปิดใจญาติโยมให้สนใจยอมรับฟังการบรรยายธรรมที่เป็นภาษาไทยกลาง ซึ่งก็ได้ผลทุกแห่งถึงกับมีญาติโยมถามข้าพเจ้าว่าเป็นคนจังหวัดตรังใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า อาตมาอยากเป็นพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชมาก แต่ตอนนี้ยังเป็นคนสกลนครที่กำลังหัดพูดภาษาไทยใต้อยู่ โยมหัวเราะบอกว่า ผมฟังสำเนียงพูดนึกว่าเป็นคนจังหวัดตรัง
เพื่อนมุสลิม
วันหยุด ตอนเช้าข้าพเจ้าซักมุ้งหมอนผ้าสบงจีวร ตอนบ่ายไปค้นคว้าเรื่องศาสนาอิสลาม จุดแรกที่ไปคือปอเนาะบ้านตาล หลวงพี่ถามว่าจะไปปอเนาะบ้านตาลไม่กลัวคนมุสลิมหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า เขาคงไม่ทำร้ายผมหรอกเพราะผมไปดีครับ ตอนบ่ายวันนั้นข้าพเจ้าห่มจีวรคลุมไหล่ เอากล้องถ่ายรูปใส่ย่ามสะพายเข้าไปด้วย พอเดินเข้าไปภายในปอเนาะก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งผิวคล้ำหน้าตาคมสันนุ่งโสร่งลายเหมือนผ้าขาวม้าเดินมาทักทาย ถามไถ่ว่า มาหาใครครับ ข้าพเจ้าตอบว่า ผมมาจากมหาจุฬากรณราชวิทยาลัย กรุงเทพฯ เพื่อเขียนรายงานเรื่องศาสนาอิสลามครับ ไม่ทราบว่าจะต้องไปพบใครที่ไหนเพื่อขอคำแนะนำได้บ้าง เขาตอบว่า คงต้องไปที่บ้านโต๊ะครูครับ ตามผมมา ผมจะพาไปหาท่านเอง ข้าพเจ้าเดินตามมุสลิมหนุ่มอัธยาศัยดีคนนั้นไปจนถึงบ้านโต๊ะครู ข้าพเจ้าสังเกตดูลักษณะโหงเฮ้งของโต๊ะครูแล้วรู้สึกเบาใจเพราะต้องเป็นคนใจกว้างอย่างแน่นอน ท่านให้การต้อนรับอย่างดี พาข้าพเจ้าไปนั่งใต้ร่มไม้ ให้มุสลิมหนุ่มคนนั้นไปหาน้ำมาเสริบ และมานั่งฟังการสนทนา หลังจากถามไถ่ความเป็นมาของกันและกันแล้ว จึงรู้ว่าท่านเกิดปีเดียวกับข้าพเจ้า เป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียนจบปริญญาตรีด้านศาสนาอิสลามจากต่างประเทศ มาเป็นครูสอนที่ปอเนาะบ้านตาลสามปีแล้ว ข้าพเจ้าอาศัยวิชาหมอดูคุยนั่นถามนี่ไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องส่วนตัวและหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งพอสรุปหลักการของศาสนาอิสลามเบื้องต้นได้ 5 หลักคือ
- หลักศรัทธา มุสลิมต้องเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะซ์ และมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์
- หลักละหมาด มุสลิมต้องทำละหมาดทุกวันเพื่อแสดงความเคารพต่อพระอัลเลาะซ์ มุสลิมต้องเริ่มทำละหมาดเมื่ออายุได้ 7 ปี
- หลักซะกาต มุสลิมต้องแบ่งปันทรัพย์สินเงินทองของตนให้แก่ส่วนรวมและคนยากจนโดยคำนวณจากรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์
- หลักการถือศีลอด มุสลิมต้องถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ด้วยการงดเว้นการดื่มกิน และการมีเพศสัมพันธ์ในเวลากลางวันตลอดเดือนเราะมะฎอน
- หลักการบำเพ็ญหัจญ์ มุสลิมต้องตั้งปณิธานที่จะไปร่วมพิธีหัจญ์ที่เมืองเมกกะและขอพรจากพระอัลเลาะซ์ ต้องทำให้ได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
ก่อนจากกันข้าพเจ้าได้ถ่ายรูปกับโต๊ะครูและเจ้าหนุ่มมุสลิม ทั้งสองเดินมาส่งข้าพเจ้าจนถึงประตูทางเข้าปอเนาะ ข้าพเจ้าบอกว่าขอบคุณที่ให้การต้อนรับด้วยไมตรี ให้ความรู้เรื่องศาสนาอิสลามและทุก ๆ เรื่อง จะลองนำความรู้ที่ได้รับวันนี้ไปลองเรียบเรียงเขียนดู ถ้ามีข้อสงสัยไม่เข้าใจคงต้องกลับมาขอคำแนะนำจากท่านอีกนะ โต๊ะครูบอกว่า ด้วยความยินดียิ่งครับ พวกเรายินดีต้อนรับท่านเสมอ ข้าพเจ้าเดินออกจากปอเนาะบ้านตาลท่ามกลางสายตาของของชาวพุทธและชาวมุสลิมที่จ้องมองด้วยความงุนงงสงสัย ข้าพเจ้าขึ้นสามล้อกลับถึงวัดเสาธงทองด้วยความสบายใจเห็นหลวงพี่นั่งคอยด้วยการลุ้นระทึก ข้าพเจ้ายิ้มบอกหลวงพี่ว่า ปลอดภัยครับหลวงพี่ หัวไม่แตกฟันก็ไม่หักครับ พวกเราตั้งวงสนทนาเหมือนเดิม ส่วนสีกาสาวไปเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ยังไม่กลับ คืนนั้นข้าพเจ้าพยายามรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้สนทนากับเพื่อนมุสลิมเอาไว้เพื่อนำไปเรียบเรียงเขียนใหม่ รวบรวมสิ่งที่สงสัยไว้เพื่อเข้าไปดูไปถามอีกครั้งหนึ่ง
วันต่อมาข้าพเจ้ากลับเข้าไปที่ปอเนาะบ้านตาลอีกครั้ง หนุ่มมุสลิมคนเดิมบอกว่าโต๊ะครูคนนั้นกลับไปเยี่ยมบ้านที่สุราษฎร์ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าพเจ้าจึงถามว่า นักเรียนที่นี่เขาอยู่กันอย่างไร เขาจึงพาข้าพเจ้าเข้าไปดูกระท่อมไม้ไผ่ฝาขัดแตะที่ปลูกเรียงรายอยู่อีกด้านหนึ่งของอาคารเรียน พวกเขาเห็นพระเดินเข้ามาในบริเวณที่พวกเขาอยู่จึงรีบแต่งตัวเดินลงมาจากกระท่อม เจ้าหนุ่มมุสลิมที่พาไปรีบแนะว่าข้าพเจ้ามาด้วยจุดประสงค์ใด นักเรียนเจ้าของกระท่อมเชิญให้ทุกคนไปนั่งที่ลานรับแขกหน้ากระท่อม หลังจากพูดคุยสนทนากันนานนับชั่วโมงก็ได้ความรู้ใหม่ว่าปอเนาะบ้านตาลเป็นโรงเรียนเอกชน เปิดสอนในระดับมัธยมต้นรับนักเรียนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับมาเข้าเรียน นักเรียนบางส่วนที่อยู่ไกลต้องมาสร้างกระท่อมอยู่เอง กระท่อมเหล่านี้พ่อแม่ของนักเรียนที่มาเรียนที่นี่เป็นผู้สร้างด้วยเงินของครอบครัวและเงินสมทบของผู้บริจาค อาหารการกินและค่าใช้จ่ายทุกอย่างได้รับจากพ่อแม่และผู้บริจาคเช่นเดิม เสื้อผ้ามีคนละสองสามชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนเท่านั้น ชีวิตของพวกเขาลำบากฝืดเคืองไม่น้อย โต๊ะครูบางคนที่ไม่ใช่ข้าราชการก็ได้เงินเดือนจากการบริจาคตามหลักซะกาตของชาวมุสลิมซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพจึงต้องหาทำงานอื่นเสริม คนหนุ่มคนสาวที่ไม่ได้เรียนหนังสือมักจะไปทำงานรับจ้างตามร้านค้าคนจีนและคนไทยพุทธในเมือง ชาวมุสลิมที่นี่ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แบบสมถะ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติคนที่นับถือศาสนาอื่น เคร่งครัดในคำสอน เชื่อมั่นและศรัทธาในพระอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าออกจากปอเนาะบ้านตาลโดยมีเพื่อน ๆ และน้อง ๆ มุสลิมเดินตามมาส่งจนถึงประตูทางเข้าร่วมสิบคน
วันหยุดต่อมาหลังฉันเช้าที่กุฏิท่านเจ้าคณะจังหวัดแล้ว ข้าพเจ้าเดินเท้าไปที่มัสยิดซอลาฮุดดีน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ วัดเสาธงทอง มัสยิดแห่งนี้เป็นมัสยิดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระราชทานวัดท่าช้างซึ่งเป็นวัดร้างให้แก่ชาวมุสลิมสร้างมัสยิดขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาของศาสนาอิสลาม เมื่อปีพ.ศ. 2498 ข้าพเจ้าเข้าไปเดินดูรอบ ๆ มัสยิดด้วยความสนใจ พบหญิงสาวชาวมุสลิม 2 คน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทักทายและชวนคุย ทำให้ทราบว่าเธอทั้งสองมาทำงานรับจ้างที่ร้านคนจีนในละแวกนี้ ตอนเย็นพวกเธอไปเรียนที่โรงเรียนผู้ใหญ่วัดเสาธงทอง พวกเธอบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้า ถ้าเผื่อพวกเธอได้มีโอกาสไปทำงานที่กรุงเทพฯจะได้แวะไปเยี่ยมบ้าง ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องให้ชื่อและที่อยู่แก่พวกเธอ และขอชื่อที่อยู่ของพวกเธอบ้าง ข้าพเจ้าจดจำชื่อคนน้องไม่ได้ แต่คนพี่ชื่อซอฟียะ เมื่อข้าพเจ้าเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯเธอเขียนจดหมายส่งข่าวและส่งรูปของเธอไปให้สองสามครั้ง ข้าพเจ้าก็เขียนตอบเธอทุกครั้ง ภายหลังเงียบไป คงมีครอบครัวไปแล้ว ถ้าเราเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ในสังสารวัฏอันยาวนาน คนที่ไม่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนย่อมไม่มี ผู้หญิงที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชายและผู้ชายที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิงก็ไม่มีอีกเหมือนกัน กรรมที่เราทำไว้จะจำแนกให้คนเราได้เกิดเป็นนั่นเป็นนี่ที่นั่นที่นี่และอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะทุกคนในโลกนี้ล้วนเคยเกิดเป็นพี่น้องของเราเป็นสามีภรรยาของเรา ใกล้เที่ยงวันแสงแดดกำลังแผดจ้าอากาศร้อนมากข้าพเจ้าจึงต้องเดินทางกลับวัดด้วยรถสามล้อถีบตามเคย
เมืองในหุบเขา
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่อำเภอเมืองแล้ว ข้าพเจ้าเตรียมตัวเดินทางไปอำเภอลานสกาตามกำหนดการที่ทางมหาวิทยาลัยออกให้ ก่อนถึงวันออกเดินทาง ข้าพเจ้าซักผ้าสบงจีวรของตนเองพับเก็บใส่ลังกระดาษให้เรียบร้อย เพื่อนที่ไปด้วยกันย้ายอำเภออื่นก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย หลวงพี่ที่เคยมาคุยด้วยทุกวันไม่อยู่ ส่วนสีกาสาวกลับไปเยี่ยมบ้านที่อำเภอหัวไทร ศาลาการเปรียญหลังใหญ่จึงเหลือข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ค่ำลงสรงน้ำไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตานั่งสมาธิกางมุ้งดับไฟนอน แสงไฟจากถนนหน้าวัดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดรับลมทำลายความมืดทำให้มอง เห็นเกือบทุกซอกมุมของห้อง ข้าพเจ้าพยายามนึกทบทวนมุขตลกขบขันที่ทำให้ญาติโยมได้หัวเราะจนน้ำหมากหกและ สาธกโวหารประทับใจที่ทำให้ญาติโยมถึงกับน้ำตาคลอเบ้าของพระธรรมทูตที่เคยไป บรรยายธรรมด้วยกันมาดัดแปลงเพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกลมกลืนกับหัวข้อธรรม ที่จะนำไปบรรยาย และนอนพึมพำเรียบเรียงคำพูดการบรรยายธรรมที่จะนำไปบรรยายที่อำเภอลานสกาใน วันรุ่งขึ้นโดยมียุงกระหายเลือดบินวนหาทางเข้ามุ้งอยู่โดยรอบ เช้าวันต่อมาหลังฉันอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปกราบลาท่านเจ้าอาวาสที่กรุณาให้ที่พักพิงอันอบอุ่นและที่อยู่ ที่กินที่เพียงพอ ไปนั่งรอที่ศาลาการเปรียญไม่นานนักก็มีรถปิกอัพของท่านกำนันจากตำบลลานสกามา รับ รถวิ่งขึ้นเขาตามเส้นทางที่ลาดชันคดเคี่ยวไปมาจนถึงจุดหมายปลายทางแล้วส่ง ข้าพเจ้าลงที่วัดวังไทร ตำบลกำโลน นัดหมายเวลา 12 .00 น. จะมารับไปที่จุดอบรมแรกที่หอประชุมอำเภอลานสกา ข้าพเจ้าเข้าไปกราบรายงานตัวต่อเจ้าอาวาส ท่านให้สามเณรจัดที่พักไว้ให้ในกุฏิที่ตั้งเรียงรายรอบวัด ตรงกลางและริมทางเข้าวัดสองข้างมีต้นมังคุดกำลังผลิดอกออกผลยืนต้นเรียง รายอย่างเป็นระเบียบ ลานวัดใต้ต้นมังคุดเตียนโล่งสะอาดร่มรื่นน่าอยู่ ด้านทิศตะวันตกมีภูเขาสูงตระหง่านกั้นหมู่เมฆฝนสีขาวที่พาดผ่านทำให้มองเห็น ยอดเขาเพียงเลือนราง ข้างวัดมีลำธารน้ำใสที่ไหลทอดยาวมาจากน้ำตกกะโลนบนยอดเขาพรหมคีรีที่อยู่สูง ขึ้นไป ตอนบ่ายกำนันตำบลลานสกาขับรถมารับ เราคุยกันไปตลอดทาง ทราบว่าท่านกำนันเป็นอดีตตำรวจเก่ายศนายจ่า ลาออกมาสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้านและสุดท้ายได้เป็นกำนันตำบลลานสกามาหลายปีแล้ว เมื่อถึงหอประชุมอำเภอลานสกาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากศึกษาธิการอำเภอลานสกาในขณะนั้น หลังจากพระธรรมทูตประจำอำเภอบรรยายธรรมจบแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มบรรยายธรรมใจความว่า อาตมารู้สึกแปลกใจที่ได้พบเห็นญาติโยมคนหนุ่มคนสาวชาวอำเภอลานสกาส่วนใหญ่ รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมคาย ผิวขาวคล้ายคนจีน ท่านกำนันได้กรุณาเล่าให้ฟังตอนนั่งรถมาด้วยกันว่า คนลานสกาส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและเหล่าเสนาอำมาตย์ เมื่อครั้งที่อพยพหนีโรคห่ามาสร้างบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอลานสกา มีบางส่วนเท่านั้นที่เมื่อโรคห่าสงบแล้วได้ย้ายกลับไปแต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ อาศัยที่เมืองลานสกาแห่งนี้ และมีลูกหลานสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน การได้มีโอกาสมาพบกับลูกหลานเจ้าเมืองและเหล่าเสนาอำมาตย์เมืองนครศรีธรรมราชในครั้งนี้จึงถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่งสำหรับอาตมา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อะเสวะนา จะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา เอตัมมัง คะละมุตตะมัง แปลว่าการไม่คบคนพาลและการคบบัณฑิตเป็นมงคลอย่างยิ่ง ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ เอตัมมัง คะละมุตตะมัง การอยู่อาศัยในประเทศที่เหมาะสมเป็นมงคลอย่างยิ่ง ญาติโยมไม่คบคนพาลจึงไม่มีความผิดไม่ติดคุกญาติโยมคบบัณฑิตจึงถูกบัณฑิตชักชวนมาฟังธรรมในวันนี้ ญาติโยมตั้งบ้านเรือนอยู่ในภูมิประเทศที่เหมาะสม โรคห่าจืงตามมาไม่ถึง บนนี้อากาศปลอดโปร่งเย็นสบายหายใจก็โล่ง ญาติโยมล้วนแต่หน้าตาสดใสลูกหลานก็หร่อสวยใส ใบหน้าเอิบอิ่มด้วยความสุข ทำนายว่าญาติโยมทั้งหลายจะมีอายุยืนยาวถึงร้อยปีขึ้นไปอย่างแน่นอน ถ้าไม่เชื่อให้พยายามรักษาชีวิตของตนเองให้ยืนยาวอย่างน้อยร้อยปี เพื่อตามไปดูว่าคำทำนายของอาตมาจะเป็นจริงหรือไม่ สำหรับธรรมที่ได้เตรียมมาฝากญาติโยมในวันนี้เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้เคยเทศโปรดพระประยูรญาติของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จไปห้ามทัพมิให้รบกันเพราะสาเหตุแย่งน้ำทำนา คือสังคะหะวัตถุธรรม 4 ประการ ต่อจากนั้นก็บรรยายธรรมเหมือนไปบรรยายธรรมที่อำเภอท่าศาลา เล่านิทานธรรมประกอบหนึ่งเรื่องเพื่อให้เหมาะสมกับเวลาที่กำหนด บรรยายธรรมจบแล้วท่านกำนันขับรถไปส่งที่วัดวังไทรตามเดิม
ขุนเขาลำเนาไพร
ใกล้ค่ำข้าพเจ้าลงไปอาบน้ำในลำธารข้างวัด เดินหาท่าน้ำที่เหมาะ ๆนั่งยอง ๆพินิจพิจารณาน้ำที่จะอาบว่าสะอาดปลอดภัยหรือไม่ ลองเอามือวักน้ำเพื่อเรียกปลิงสามครั้ง เห็นเพียงฝูงปลาเล็กบ้างใหญ่บ้างแหวกว่ายเข้ามาหาแล้วว่ายวนกลับไปที่แอ่งหินตามเดิม มองขึ้นไปทางต้นน้ำเห็นลำธารคดเคี่ยวไปมาตามโขดหินระเกะระกะระเรื่อยเรียงราย คด งอ สูง ต่ำ ทอดยาวไกลออกไปและหายลับไปใต้กิ่งใบของต้นไม้พันธุ์พุ่มที่ขึ้นเรียงรายทั้งสองฟากฝั่ง อากาศเริ่มเย็นลง ข้าพเจ้าคิดว่าน้ำในลำธารสะอาดปลอดภัยแน่ จึงรีบใช้ขันตักน้ำขึ้นอาบชำระคราบเหงื่อไครจนสะอาดเสร็จสิ้น แต่งองค์ทรงเครื่องสบงอังสะ ละจากลำธารขึ้นไปเดินชมวิวทิวทัศน์รอบวัดในยามเย็น พอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็ต้องตะลึงกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า กลุ่มเมฆสีขาวพาดผ่านยอดเขาสูงตระหง่านที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตร นกเหยี่ยวสองสามตัวกำลังบินโฉบเฉี่ยวไปมาเพื่อล่าเหยื่อบริเวณรอบตีนเขา แสงตะวันใกล้อัศดงเบื้องปัจฉิมทิศ ส่องข้ามขอบฟ้ามากระทบกลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยผ่านยอดเขาอย่างช้า ๆ ทำให้มองเห็นยอดเขาได้บ้างในบางขณะ งดงามประหนึ่งภาพวาดจากจินตนาการของยอดปรมาจารย์ด้านจิตรกรรม ไม่นานนักท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว ฝูงค้างคาวและนกกลางคืนเริ่มโผบินออกจากรังนอน ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจที่วันใหม่ของพวกเขากำลังจะมาถึง และเวลาหาอาหารของพวกเขากำลังจะเริ่ม ภาพที่ปรากฏงดงามมีชีวิตชีวาน่าประทับใจจนยากแก่การจะลืมเลือน เสียงเหง่งหง่างดังมาจากหอระฆังวัด เพื่อบอกเวลาค่ำและให้สัญญานพระเณรไปร่วมทำวัตรสวดมนต์ ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นจากภะวัง ละสายตาจากท้องฟ้าและขุนเขาเบื้องหน้าลง ดุ่มเดินดอดขึ้นกุฏิ เพื่อเตรียมตัวไปร่วมทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ตามรอยบาทพระศาสดา
ภารกิจ
คุณย่าอายุ 105 ปีเคยสอนข้าพเจ้าเมื่อยังเป็นเด็กว่า ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยให้ย้ายที่นอนใหม่ ถ้าจำเป็นต้องนอนที่เก่าให้หันศีรษะไปทางทิศใหม่ อย่าหันศีรษะไปทางหน้าต่างเพราะตกดึกอากาศเย็นทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย ข้าพเจ้าจึงกางมุ้งนอนกลางห้องและไม่หันศีรษะไปทางหน้าต่าง ทำให้ไม่ค่อยเจ็บป่วยบ่อยนัก เสียงระฆังเช้าวันใหม่ปลุกให้พระเณรลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ ข้าพเจ้าลุกจากที่นอนทำกิจวัตรทุกอย่างเสร็จแล้วเตรียมไปบิณฑบาต ไม่นานนักก็เห็นญาติโยมนำอาหารลงมาวางรวมไว้ที่ศาลาการเปรียญแล้วไปยืนตั้งแถวที่ถนนนอกวัด ท่านเจ้าอาวาสนำเดินบิณฑบาต ได้ข้าวสามสีคือสีขาว สีเหลืองอ่อนและสีเหลืองแก่ ชาวใต้นิยมอาหารรสเผ็ดจัด จึงต้องใช้ขมิ้นในการประกอบอาหารเพื่อรักษากระเพาะลำไส้มิให้เจ็บป่วย อาหารมื้อเช้าวันนั้นอร่อยสุด ๆ เพราะมีทั้งแกงพุงปลา แกงเหลือง แกงส้ม น้ำพริกแมงดา ที่ขาดไม่ได้คือลูกสะตอกับยอดชะอม แต่อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังเมื่อไปอยู่ต่างถิ่นเพราะอาจทำให้เราเจ็บป่วยได้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระเณรในเรื่องการกินอาหารว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะชาวบ้าน จงอย่าให้เป็นภาระของชาวบ้านมากนัก จงรู้จักประมาณในการกินอาหาร ไม่ควรกินมากหรือน้อยเกินไป และจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านเหล่านั้น ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่วัดวังไทรแห่งนี้นานหนึ่งเดือน ต้องไปบรรยายธรรมร่วมกับท่านเจ้าอาวาสวัดวังไทรซึ่งเป็นพระธรรมทูตประจำอำเภอลานสกา จุดอบรมอยู่ที่วัดและศาลาประชาคมประจำหมู่บ้านตำบลรวมทั้งหมดยี่สิบแห่ง
วัดคีรีกันทร์
การเดินทางไปบรรยายธรรมส่วนใหญ่จะมีรถยนต์ไปรับไปส่ง แต่มีอยู่แห่งหนึ่งที่ต้องเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้าง ท่านเจ้าอาวาสเล่าว่าเมื่อคืนฝนตก หินดินบนภูเขาอาจหล่นลงมาทับเส้นทาง รถใหญ่จึงไม่กล้าไป ข้าพเจ้ากับท่านเจ้าอาวาสจึงต้องเดินด้วยรถเล็ก มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ หนทางคดเคี่ยวไปมาตามไหล่เขาที่สูงชัน บางแห่งมีก้อนหินและดินถล่มลงมาทับเส้นทาง ต้องลงจากรถเดินเท้าเพื่อให้รถจักรยานยนต์หลบก้อนหินและกองดินได้สะดวก ยังดีที่หินดินไม่ถล่มลงมาในเวลากลางวัน จึงไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย คนขับรถพาข้าพเจ้าไปถึงวัดคีรีกันทร์ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาโดยปลอดภัย มีญาติโยมจำนวนมากมานั่งรอฟังธรรมที่ศาลาการเปรียญ บางคนมีศรัทธามากแบกผลไม้ลงมาจากหลังเขาเพื่อนำมาถวายพระเณรที่วัด ญาติโยมที่นี่ล้วนแต่เป็นคนดีมีน้ำใจ หลังจากพระธรรมทูตประจำอำเภอบรรยายธรรมจบแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มบรรยายธรรมเรื่องบุญบาป ความว่า อาตมารู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาพบญาติโยมชาวพุทธถึงหมู่บ้านคีรีกัณฑ์ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบทุกด้าน มีเส้นทางเข้าออกที่คดโค้งไปมาตามหุบเหวและไหล่เขาสูงชันเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความวิริยะอุตสาหะของบรรพบุรุษของญาติโยมที่นี่ ได้มาพบกันวันนี้ ญาติโยมนำผลไม้ข้าวปลาอาหารมาถวายพระ มาทำบุญร่วมกันที่วัดคีรีกัณฑ์แห่งนี้ ส่วนอาตมาก็พยายามหาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาฝาก เลือกแล้วเลือกอีกว่าจะเอาธรรมะเรื่องใดมาฝากดี ในที่สุดก็ได้ของดีมาฝากญาติโยม 2 ห่อ ห่อที่หนึ่งคือห่อบุญ ในห่อนี้มีข้อความว่าใครอยากขึ้นสวรรค์ให้ทำสามข้อคือ 1. ให้ทาน เพื่อกำจัดความตระหนี่และทำให้ใจแกล้วกล้าเบิกบาน 2. รับศีลรักษาศีล เพื่อทำให้กายกับวาจาให้สงบ และ 3. นั่งสมาธิ เพื่อทำให้ใจสะอาดหมดจด ตั้งจิตอธิษฐานแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องและสรรพสัตว์รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร ให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้ทำในวันนี้โดยทั่วถึงกัน ผู้ใดมีทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์และได้ถึงความสุข ส่วนผู้ใดถึงสุขแล้วก็ขอให้ได้เสวยสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อยังมีชีวิตอยู่จะมีความสุขทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น ชีวิตหลังความตายจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สุขสบาย เช่นมนุษย์สมบัติ คือสมบัติในมนุษย์ ได้แก่ความมั่งคั่งร่ำรวย สวรรค์สมบัติคือเป็นเทวดามีอิทธิฤทธิ์และมั่งคั่ง และนิพพานสมบัติ คือสมบัติในพระนิพพานได้แก่ความสุขจากการดับทุกข์ได้ ไม่มีกิเลสครอบงำ ส่วนห่อที่สองเป็นห่อบาป มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ใครอยากตกนรกให้ละเมิดศีลผิดธรรม เช่นฆ่าและเบียนผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ลักทรัพย์ ละเมิดบุตรธิดาสามีภรรยาผู้อื่น พูดจาโกหกหลอกลวงหรือด่าทอผู้อื่น และเสพของมึนเมา ละเมิดศีลขอใดข้อหนึ่งหรือละเมิดหลายข้อ เมื่อยังมีชีวิตอยู่จะต้องอยู่อย่างหวาดผวา เพราะอาจต้องเป็นนักโทษ ต้องติดคุก หรือถูกจองเวร ชีวิตหลังความตายจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทุกข์เช่น เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์นรกเป็นต้น หรือเกิดมาเป็นคนแต่ยากจนทนทุกข์ โง่ทึบ ทุกข์ทรมานเพราะไม่สมประกอบ และมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นต้น
ถามว่าบุญคืออะไร ตอบว่าบุญคือความสุข ถามว่าความสุขคืออะไร ตอบว่าความสุขคือความสบาย มีสองอย่างคือความสบายกายและความสบายใจ ถามว่าความสบายกายและความสบายใจคืออะไร ตอบว่าความสบายกายคือการที่กายเราแข็งแรงเพราะอยู่ดีกินอร่อย กินถูกหลักอนามัย ไปมาสะดวกสบาย และมีปัจจัยเพื่อการดำรงชีพครบ 4 อย่างได้แก่ มีอาหารกินครบห้าหมู่ มีเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นสวยงาม มีที่อยู่อาศัยเหมาะสม ยามเจ็บไข้มียารักษาเป็นต้น ส่วนความสบายใจ คือการที่ใจของเราเป็นสุขเพราะไม่มีกิเลสเครื่องทำให้ใจเศร้าหมองได้แก่ความโลภ ความโกรธ และความหลงมาครอบงำ
ทำอย่างไรกิเลสคือความโลภความโกรธและความหลงจึงจะไม่มาครอบงำใจของเรา ตอบว่าให้ใช้สติคอยกำกับจิตหรือใจมิให้คิดปรุงแต่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่มากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ว่าดี ว่าร้าย ให้จิตทำหน้าที่เพียงการรับรู้ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและอารมณ์ที่มากระทบนั้นเป็นใครเป็นอะไรที่ไหนเมื่อไรและอย่างไรเท่านั้น เมื่อจิตไม่คิดปรุงแต่ง ตัณหาคือความทะยานอยาก 3 อย่างซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ได้แก่กามตัณหา ความอยากมี ภวตัณหา ความอยากเป็น และวิภวตัณหา ความอยากไม่มีความอยากไม่เป็นก็จะไม่เกิด เมื่อตัณหา คือความทะยานอยากไม่เกิด รากเหง้าของกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานอันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลงก็จะไม่ฟุ้งขึ้นมาครอบงำใจของเราให้ขุ่นมัวเศร้าหมองและเป็นทุกข์อีกต่อไป
คนและสัตว์ตายแล้ววิญญาณไปไหน ตอบว่าคนและสัตว์ตายแล้ววิญญาณก็ไปตามกรรมที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ถ้ากรรมดีพาไปก็จะไปสู่สุคติคือภพภูมิที่มีความสุขได้แก่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของกรรมดีที่เคยทำไว้ แต่ถ้ากรรมชั่วพาไปก็ต้องไปสู่ทุคติคือภพภูมิที่มีความทุกข์ได้แก่ ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก หรือเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ตามปริมาณและความหนักเบาแห่งกรรมที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
ยมบาลมีจริงหรือไม่ ตอบว่าอาตมาก็ไม่เคยเห็นยมบาลตัวจริงเสียงจริงแม้แต่ครั้งเดียว เคยเห็นแต่ในภาพวาด และได้อ่านในหนังสือเท่านั้น เนื่องจากการรับรู้ของมนุษย์เรามีขีดจำกัด เช่นตาของมนุษย์เรามองไม่เห็นในเวลากลางคืนเดือนมืด สู้ตาหมาก็ไม่ได้ จมูกของเราดมกลิ่นแยกแยะกลิ่นสู้จมูกหมาก็ไม่ได้ แม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นเชื้อโรคแต่คุณหมอส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์บอกว่ามี เราต้องเชื่อตามที่คุณหมอบอก เราไม่เคยเห็นปู่ทวดของปู่ทวดของเรา แต่เราก็ต้องเชื่อว่าปู่ทวดของปู่ทอดของปู่ทวดของปู่ทวด ๆ ๆ ต้องมีตามที่ได้รับการบอกเล่าอย่างแน่นอน ยมบาลก็น่าจะมีตามที่มีผู้เคยเห็นแล้วนำมาเขียนไว้เช่นเดียวกัน
ยมบาลฆ่าและทรมานสัตว์นรกตลอดเวลาไม่บาปหรือ ตอบว่าการทรมานหรือการฆ่าสัตว์ทุกชนิดย่อมเป็นบาป แต่ยมบาลก็เหมือนเสือ เสือมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการฆ่าสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ถ้าเราไปเกิดเป็นละมั่งเก้งกวางในป่าเสือก็ต้องถูกเสือจับฆ่ากินเป็นอาหาร ถามว่าเสือบาปหรือไม่ก็คงต้องตอบว่าเสือทำบาปอย่างแน่นอน ยมบาลก็เช่นเดียวกันต้องโหดเหี้ยมอำมหิต ต้องทรมาน ต้องฆ่าสัตว์นรก จึงจะได้ชื่อว่าเป็นยมบาล แต่ถ้าสวยน่ารักใจดี ใช่เลยเธอคือนางฟ้า ถามว่าทำไมยมบาลจึงชอบฆ่าสัตว์นรก คำตอบคือ มันคงเป็นเพราะเวรกรรมของยมบาลนั่นแหละทำให้เป็นไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก แปลว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กัมมัง สัตเต วิภัชชะติ ยะถีทัง หีนัปปะนีตะตายะ แปลว่า กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้ไปดีหรือไปร้าย
ใครจ้างยมบาลไปเฝ้านรก ตอบว่า กรรมเป็นผู้จ้างยมบาลไปเฝ้านรก เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยทำกรรมดีบ้างกรรมชั่วบ้างจึงต้องไปเกิดเป็นยมบาลเพื่อใช้กรรม ชีวิตจึงต้องวุ่นวายอยู่กับการฆ่าและการทรมานสัตว์นรก เช่นเดียวกับคนรับจ้างฆ่าตามโรงฆ่าสัตว์ทั้งหลาย ถ้าเขาจะเลือกทำงานอื่นที่ไม่ต้องฆ่าก็ได้ เพราะทุกคนเกิดมาย่อมมีสิทธิ์เสรีที่จะเลือกที่จะทำดีเพื่อไปสู่ที่ดีที่สุขสบาย หรือทำชั่วเพื่อไปสู่ที่ชั่วที่ลำบากได้ด้วยตนเอง กรรมจึงเป็นตัวกำหนดสรรพสิ่งทั้งหลายให้ดีหรือชั่ว
ยมบาลได้เงินค่าจ้างเดือนละเท่าไร ตอบว่า อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เห็นมีใครเขียนบอกไว้ ท่านอาจทำงานฟรีเพื่อใช้กรรมเก่าของท่านก็ได้ เกิดเป็นยมบาลทำงานหนักและลำบากมาก เพราะสัตว์นรกมากขึ้นทุกวันจนดูแลแทบไม่ไหว ไม่มีเวลาไปเที่ยวสนุกสนานดูหนังฟังเพลงเหมือนมนุษย์เรา
ข้าพเจ้าสรุปตอนท้ายว่า อาตมาขอมอบห่อบุญและห่อบาปให้แก่ญาติโยมชาวบ้านคีรีกัณฑ์ทั้ง 2 ห่อ ก่อนจะนอนก็ให้นึกถึงห่อบุญว่าวันนี้เราได้ทำบุญอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม ตั้งปณิธานที่จะทำบุญเพิ่มขึ้นทุกวันเพื่อจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ และนึกถึงห่อบาปว่า วันนี้เราได้ละเมิดศีลผิดธรรมอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม พยายามลดละเลิกการละเมิดศีลผิดธรรมให้ได้ก่อนตาย เพื่อจะได้ไม่ไปเกิดในภพภูมิที่ลำบากยากจนทนทุกข์ ชีวิตบนโลกมนุษย์นี้สั้นเพียงร้อยปีที่มนุษย์เราต้องทำความดีสร้างบุญกุศลหรือละเมิดศีลผิดธรรม เพื่อจะไปเสวยผลบุญหรือผลบาปที่ทำไว้บนสวรรค์หรือนรกเป็นเวลานานถึงหนึ่งพันปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับสามสิบล้านปีบนโลกมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาก่อนดับขันธ์ปรินิพพานว่า ชีวิตมนุษย์นี้สั้นนัก พวกเธอจงมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
หลังจากบรรยายธรรมจบแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปกราบลาท่านเจ้าอาวาสวัดคีรีกัณฑ์เดินทางกลับวัดวังไทรด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์คันเดิม และบนเส้นทางเดิม ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัดวังไทรและไปบรรยายธรรมร่วมกับพระธรรมทูตประจำอำเภอลานสกาประมาณ 20 แห่ง จึงเข้าไปกราบลาท่านเจ้าอาวาสและบอกลาเพื่อนสหธรรมมิกในวัดวังไทรเดินทางลงจากภูเขาสู่วัดเสาธงทองเพื่อไปกราบลาท่านเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชเดินทางกลับวัดมักกะสัน กรุงเทพมหานคร
ข้าพเจ้าได้เขียนรายงานเรื่องศาสนาอิสลามโดยมีลูกศิษย์วัดชื่อเจ้าวิทยา คึมยะราช ไปพาเพื่อนสาวมุสลิมแถวบางกะปิมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เขียนเสร็จแล้วนำส่งพระอาจารย์ และได้เขียนบทความเชิงสารคดีเรื่องสู่ลานสกาลงในวารสารพุทธจักรรายเดือนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหลายเล่ม เพื่อน ๆให้แรงเชียร์ติดตามอ่านกันพอสมควร
ผ้าเหลืองร้อน
ข้าพเจ้าไปเรียนในวันราชการและไปสอนนักเรียนในโรงเรียนพุทธศาสนาวัน อาทิตย์ของมหาวิทยาลัยทุกวันอาทิตย์ ได้รู้จักและพบปะกับญาติโยมมากมาย โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยใกล้เคียงกันที่มาทำงานช่วยโรงเรียนในวันเสาร์วัน อาทิตย์ จิตที่เคยสงบเริ่มสับสนวุ่นวายเพราะปรุงแต่งรูป เสียงและกลิ่นกายของสีกาสาวที่มากระทบกับตาหูจมูก จิตกระวนกระวายเฝ้ารออยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็ว ๆ แต่เวลาเพียงหกวันที่รอคอยช้านานเหมือนเป็นเดือนเป็นปี นั่งนอนนึกพิจารณาทบทวนจิตใจของตนเองว่าทำไมจึงเกิดความรู้สึกรักและผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเพราะเรายังไม่สิ้นกิเลส กิเลสเกิดเพราะจิตคิดปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและอารมณ์ที่มากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรา ถ้าต้องการดับกิเลสให้ใช้สติคอยกำกับจิตมิให้คิดปรุงแต่ง นักวิทยาศาสตร์ให้คำตอบว่าความรู้สึกรักและผูกพันเกิดขึ้นเพราะมันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดย่อมต้องการสืบพันธุ์เพื่อให้ดำรงอยู่ตลอดไป มนุษย์พืชสัตว์ที่ไม่มีการสืบพันธุ์ย่อมสูญพันธุ์ ความรักความผูกพันเป็นส่วนประกอบของการรักษาเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ นักสังคมวิทยาบอกว่า ความรักสร้างโลกแต่ความเกลียดชังทำลายโลก เพราะถ้ามนุษย์เราไม่รักกันไม่ผูกพันกันมนุษย์เราก็ต้องสูญสิ้นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์ ชีวิตข้าพเจ้ามาถึงทางสองแพร่งที่ต้องเลือกเดินแล้วจริง ๆ คือหนึ่งเดินตามรอยพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่นิพพานด้วยการใช้สติคอยกำกับจิตมิให้คิดปรุงแต่งและคิดไปเอง หรือสองสึกออกไปหางานทำมีครอบครัวเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง ข้าพเจ้าพยายามเดินตามรอยพระพุทธเจ้าด้วยการฝึกสมาธิและฝึกการบรรยายธรรมและหลักการฝึกสมาธิเบื้องต้นเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนเบื้องต้นแก่ชาวต่างประเทศตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด แต่จิตเริ่มคิดฟุ้งซ่าน อยากทดลองใช้ชีวิตที่เหลือเป็นคนธรรมดา สึกออกมาหางานทำเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกต่อไป ไม่อยากรักษาศีล 227 ข้อ ไม่อยากฝึกสมาธิ เพื่อนหลายท่านเรียนจบแล้วลาสึกออกมาหางานทำ หลายท่านไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย ส่วนพี่สนิทกำลังเรียนปริญญาโทปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยบราโรด้า ประเทศอินเดีย ด้วยทุนของคุณตาแม้น บ้านอยู่ซอยนานาเหนือ
หมดบุญบวช
คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2516 ก่อนนอนข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่เมตตาแล้วล้มตัวลงนอนกำหนดรู้ อนาคตในปีใหม่ 2517 เหมือนทุกปลายปีที่เคยปฏิบัติ ข้าพเจ้าฝันไปว่าขณะค่ำคืนเดือนมืดท้องฟ้าสลัวลมเย็นพัดผ่านอากาศเย็นยะ เยือกฟ้าแลบแปลบปลาบ ข้าพเจ้ากำลังคลานไปบนสะพานไม้ต้นเดียวที่ทอดยาวจากยอดเขาลูกหนึ่งข้ามหุบ เหวไปยังยอดเขาอีลูกหนึ่ง เมื่อคลานถึงกลางสะพานก็พลัดตกลงไป ขณะที่ร่างกำลังลอยละลิ่วร่วงหล่นลงเบื้องล่างก็ได้ยินเสียงคล้ายมีผู้คน กำลังคุยกันข้างลำธารก้นเหวลึกที่มืดมิด ข้าพเจ้าตกใจตื่นลุกขึ้นนั่งเอามือคลำหน้าอกตัวเอง หัวใจกำลังเต้นตูมตามแทบทะลุหน้าอกออกมา ลุกไปเปิดไฟดูนาฬิกาข้างฝาบอกเวลาตีสาม รีบปิดไฟกลับเข้ามุ้งนอนต่อ นึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองในปี 2517 ว่าจะเป็นประการใดด้วยใจระทึก
ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2517 หลังจากสอบเสร็จ ได้ส่งธนาณัติให้พี่สนิทเป็นงวดสุดท้ายด้วยทุนของคุณตาแม้น เพื่อน ๆต่างแยกย้ายกันไป บางท่านมีญาติโยมส่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอินเดีย บางท่านสมัครเป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ บางท่านก็ลาสึกไปหางานทำ ส่วนข้าพเจ้าก็นั่งนึกนอนคิดว่าจะจัดการกับชีวิตส่วนที่เหลือของตนเองอย่าง ไรดี เพราะอายุก็มากถึง 29 ปีแล้ว ถ้าจะสึกไปมีครอบครัวก็ยังไม่สายเกินไปนัก ถ้าจะบวชต่อไปก็รู้สึกท้อแท้ เพราะบวชมาก็นานถึง 17 ปีกว่าแล้วยังไม่บรรลุอรหันต์ ยังมองเห็นผู้หญิงสวยงามน่ารักตามเคย ประกอบกับสุขภาพทรุดโทรมเจ็บไข้ได้ป่วยออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันไข้ ทำให้เป็นกังวลว่า ถ้าขืนบวชต่อไปเราคงตายแน่ จึงตัดสินใจนั่งรถไฟเดินทางกลับไปลาพระอาจารย์คำผายและลาพ่อกับแม่ที่บ้าน เกิด หลังทำวัตรเย็นแล้วสามเณรต้มมะตูมต้นข้างวัดตามเคย แต่คืนนี้ข้าพเจ้ากราบขออนุญาตพระอาจารย์คำผายขึ้นไปลาพ่อกับแม่ ดูเหมือนพ่อกับแม่จะดีใจมาก น้อง ๆ ซึ่งโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วพากันเข้ามากราบ ข้าพเจ้าคอยตอบคำถามของญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงที่พอทราบข่าวว่า ข้าพเจ้ามาเยี่ยมบ้านต่างทยอยเข้ามาร่วมวงสนทนาเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา พวกเราสนทนากันจนดึกดื่น ก่อนกลับวัดข้าพเจ้าบอกว่าจะมาลาสึก ทุกคนต่างบ่นเสียดายว่า น่าจะบวชจนได้เป็นเจ้าคุณ เป็นเจ้าคณะจังหวัดสกลนครเช่นเจ้าคุณศรีสกลกิจ และพระครูวิจิตรสกลการ ซึ่งเป็นญาติพี่น้องของเรา ข้าพเจ้าตอบว่าพ่อให้บวชแก้บนเพียง 7 วันเท่านั้น บวชได้นานถึง 17 ปี มากกว่าที่บนไว้หลายร้อยเท่า พ่อให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเองเพราะโตแล้ว ส่วนแม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ถามว่าสึกแล้วจะไปทำงานอะไรที่ไหนอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่าไม่รู้เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะสึก แต่ตอนนี้คิดอยากจะสึกเป็นคนธรรมดาลองดู ถ้าไม่ประสบความสำเร็จในการครองเรือนก็ค่อยบวชใหม่ได้ พ่อถามว่ามีเสื้อผ้าหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่ามีแค่เงินค่ารถไฟไปกลับเท่านั้น พ่อบอกว่า พรุ่งนี้พ่อจะเอาข้าวไปขายที่โรงสีในเมือง ลูกรออีกสองสามวันค่อยกลับกรุงเทพฯ ดึกแล้วข้าพเจ้าลาทุกคนกลับวัด พระอาจารย์ยังรอข้าพเจ้าอยู่ที่ระเบียงกุฏิ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบพระอาจารย์ ท่านถามว่าปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ข้าพเจ้าตอบว่า อายุย่างเข้า 30 ปีแล้วครับ ท่านถามต่อไปว่า เรียนจบอะไรมาบ้างแล้ว ข้าพเจ้าตอบว่า เปรียญธรรมสี่ประโยค วิชาครูวุฒิ พ.ม. และเพิ่งสอบปริญญาตรีพุทธศาสตร์บัณฑิตปีสุดท้าย ซึ่งคาดว่าน่าจะสอบได้ ท่านนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า ก็ยังไม่สายที่จะเลือกทางเดิน จะบวชต่อหรือสึกไปสอบบรรจุเป็นครู ข้าพเจ้าตอบว่า ใจหนึ่งก็ยังอยากบวชต่อไปเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นตามหลังพระอาจารย์ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากสึกเพื่อไปหางานทำ เพราะเหลือเวลาในการสอบบรรจุครูเพียง 5 ปีเท่านั้น ถ้าไม่ประสบความสำเร็จค่อยกลับมาบวชตามหลังพระอาจารย์อีกก็คงไม่สาย พระอาจารย์หัวเราะหึ ๆ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันเป็นเดิมพันชีวิตของคุณมหาเอง อาจารย์ไม่กล้าชี้แนะ ให้คุณมหาคิดพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกทางเดินที่เหมาะสม กับตนเอง ไม่ว่าคุณมหาจะตัดสินใจเลือกอย่างไรอาจารย์เห็นดีด้วยทั้งนั้น คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับจนค่อนคืน ตื่นเช้ารู้สึกโหวงเหวง เดินเซเป๋ไม่ตรงทาง ความคิดฝ่ายบวชต่อบอกว่า เราบวชมานานแล้ว ใกล้จะหลุดพ้นแล้ว ทำไมเราไม่อดทนอีกสักนิด แต่ความคิดฝ่ายสึกบอกว่าเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อบวชอย่างเดียว การสึกอาจจะดีสำหรับการไปแสวงหาความรู้นอกตำรา และยังไม่สายที่กลับมาบวชอีก แต่ถ้าไม่สึกตอนนี้ก็อาจจะสายเกินกว่าที่จะไปหางานทำหรือไปมีครอบครัว ตอนค่ำวันต่อมาข้าพเจ้าไปบอกลาพ่อกับแม่ บอกท่านว่าขอเวลาในการตัดสินใจอีกครั้ง พ่อบอกว่าไม่ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร พ่อเห็นด้วยทั้งนั้น แต่วันนี้พ่อขายข้าวได้เงิน 1,000 บาท จึงแบ่งให้ข้าพเจ้า 800 บาท ข้าพเจ้ากลับวัดเพื่อกราบลาพระอาจารย์เพราะต้องรีบขึ้นรถโดยสารแต่เช้ามืดเพื่อเข้าในเมือง พระอาจารย์แนะนำตักเตือนให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ถ้าจะบวชต่อก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ถ้าสึกไปมีงานทำและมีครอบครัวแล้วให้หมั่นทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา ให้สมกับที่บวชมานาน ข้าพเจ้าก้มกราบรับพรและรับการประพรมน้ำพุทธมนต์จากพระอาจารย์ด้วยความ ตื้นตันใจ
สึกไม่สึก
เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าตื่นแต่ตีสี่ กราบพระหันหน้าไปทางห้องนอนพระอาจารย์ ล้างหน้าแปรงฟันรอขึ้นรถที่หน้าวัด พอถึงเวลาประมาณตี 5 ได้ยินเสียงรถโดยสารแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน ข้าพเจ้ารีบสะพายย่ามหิ้วกล่องสมอที่น้องสาวหามาฝากไปยืนดักรอรถที่หน้าวัด พ่อกับแม่และน้อง ๆ ออกมายืนรอส่งที่หน้าบ้าน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังจดจำภาพนั้นได้ประหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ถึงคิวรถเมืองสกลนครแล้วข้าพเจ้าขึ้นรถสามล้อไปกราบลาท่านพระครูวิจิตรสกลการ เจ้าอาวาสวัดศรีสุมังคล์ผู้เป็นลุง เข้าไปกราบลาพระประธานในพระอุโบสถแล้ว ขึ้นสามล้อที่หน้าวัดไปขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อไปขึ้นรถไฟที่จังหวัดอุดรธานี ซื้อตั๋วรถไฟชั้นสาม เดินทางกลับกรุงเทพมหานครด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย จะสึกก็คิดเสียดายความเป็นพระ จะไม่สึกก็เสียดายโอกาสที่จะได้งานทำตั้งตัวตั้งเมื่อยังหนุ่ม คิดไม่ตกว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี จึงตั้งอธิษฐานว่าจะเอาเสียงรถไฟสุดท้ายที่สถานีปลายทางเป็นเครื่องเสี่ยงทายว่า จะสึกหรือไม่สึก ข้าพเจ้านั่งนึกนอนนับเสียงรถไฟ สึกไม่สึก ๆ ๆ ๆ ๆ ไปตลอดทาง หลับบ้างตื่นบ้าง เสียงรถไฟสุดท้ายเมื่อถึงสถานีปลายทางคือ สึก
ข้าพเจ้าสะพายย่ามหิ้วกล่องสมอลงจากรถไฟ เดินไปขึ้นแท็กซี่ที่จอดริมถนนข้างชานชลาบอกคนขับให้ไปส่งที่วัดมักกะสันในราคาตกลงกัน 20 บาท ข้าพเจ้ายังตัดสินไม่ได้ระหว่างสึกกับไม่สึก ถ้าจะเอาเสียงรถไฟตัดสินใจให้ก็ดูเหมือนจะเลื่อนลอยไม่มีเหตุผล จึงชวนแท็กซี่คุย ทราบว่าแกเป็นคนร้อยเอ็ด ขับรถตุ๊ก(สามล้อเครื่อง)มาสามปี เพิ่งจะเช่าแท็กซี่ขับได้ปีกว่า เช่าบ้านอยู่กับครอบครัวแถวสลัมคลองเตย มีรายได้ไม่แน่นอนแต่หักค่าน้ำมันค่าเช่ารถค่าอาหารแล้วเหลือวันละประมาณ 300 บาทพออยู่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราจะเลือกอาชีพนี้ก็คงพอเลี้ยงตัวเองได้ เราคุยกันถูกคอเพราะเป็นคนอีสานเหมือนกัน ถึงกุฏิวัดมักกะสันแล้วแบ่งสมอไปถวายพระอาจารย์ขวัญเจ้าอาวาส และพระมหารุ่น ชุตินธโร เพื่อนร่วมสถาบันซึ่งพักอยู่กฏิข้างเคียง ทราบว่าท่านจะเดินทางไปเผยแผ่พระศาสนาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือนหน้า เพื่อนร่วมรุ่นหลายท่านมีญาติโยมส่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอินเดีย หลังทำวัตรสวดมนต์แล้วนั่งทบทวนตัวเองภายในมุ้งว่า ถ้าเราตัดสินใจสึกจะต้องให้ทันสอบบรรจุครู กทม. ในเดือนเมษายน โดยใช้วุฒิครู พ.ม. ส่วนวุฒิปริญญาตรี(พธ.บ.) ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าเราตัดสินใจบวชต่อจะไปอยู่ที่วัดไหนดี คิดกลับไปกลับมาจนเหนื่อยจึงล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ ตื่นขึ้นทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วไปบิณฑบาต ตัดสินใจเด็ดขาดว่าสึก จึงบอกลาญาติโยมที่เคยใส่บาตรประจำรวมทั้งคุณแม่สังวาลย์ อ่อนท้วม โยมอุปัฏฐากที่ซอยนานาเหนือ หลังอาหารมื้อเช้าชวนลูกศิษย์ชื่ออาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ ศรีกาฬสินธุ์ไปตัดเสื้อและกางเกงที่ร้านแถวประตูน้ำอย่างละ 2 ตัว ตอนบ่ายไปรับเสื้อและกางเกงมาเตรียมไว้ตอนเย็นไปกราบบอกลาสึกให้พระอาจารย์ขวัญ เจ้าอาวาสทราบ เพื่อทำพิธีสึกในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ทิดสึกใหม่
ข้าพเจ้ากับอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ไปถึงกุฏิเจ้าอาวาสก่อนเวลา 6 โมงเช้าตามนัดหมาย หลังบอกลาสึกแล้วพระอาจารย์ขวัญบอกให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องข้าง ๆ อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ตรวจดูเสื้อผ้าแล้วหัวเราะบอกว่า ทำไมไม่มีกางเกงใน ข้าพเจ้าก็หัวเราะบ้าง ถามว่า อ้าวต้องใส่กางเกงในด้วยเหรอ เราต่างคนต่างหัวเราะ อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ยื่นกางเกงสีดำและเลื้อสีขาวมาให้ บอกว่าต้องใส่กางเกงสีดำตัวนี้เพื่ออำพรางไอ้นั่น ส่วนกางเกงสีขาวที่เตรียมมาใส่ไม่ได้เด็ดขาดเพราะมันอำพรางไอ้นั่นไม่ได้ ใส่เป็นหรือเปล่า ข้าพเจ้าหัวเราะบอกว่าเพิ่งหัดใส่เมื่อคืนนี้ ยังจำได้อยู่ เราหัวเราะขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่งตัวเสร็จเดินออกมากราบอาราธนาศีลห้าและรับศีลห้า ถวายจตุปัจจัยไทยทาน รับพรและน้ำพุทธมนต์จากพระอาจารย์เพื่อความเป็นสิริมงคล ท่านสอนเหมือนพระอาจารย์คำผาย และถามเรื่องงานด้วยความห่วงใย ข้าพเจ้ากราบลาท่านเจ้าอาวาส ลงจากกุฏิเดินนำหน้าท่านอาจารยศักดิ์สิทธิ์ไปยังกุฏิที่เคยพักอาศัยเมื่อครั้งบวชเป็นพระอย่างเงียบ ๆ เพราะขณะนั้นพระเณรและลูกศิษย์วัดยังไม่กลับจากบิณฑบาต
หางาน
เนื่องจากข้าพเจ้าบวชมานาน ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเพราะขาดการออกกำลังกาย จึงเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่เวลา ตี 4 ทุกเช้าด้วยการออกวิ่งบ้างเดินบ้างตามทางรถไฟจากข้างวัดมักกะสันไปราชประสงค์ เข้าสวนลุมไปต่อแถวรำมวยจีนกับผู้สูงอายุ บางครั้งก็วิ่งรอบสวนลุม แล้ววิ่งกลับวัด อ่านหนังสือเตรียมสอบบรรจุครู กทม. เนื่องจากเวลาในการเตรียมตัวสอบเพียงเดือนเดียว อ่านหนังสือไม่ทัน ประกอบกับผู้สอบมีมากถึงสองหมื่นกว่าคน แต่รับเพียงห้าร้อยคน ข้าพเจ้าสอบได้ประมาณที่เกือบพันจึงแห้วไปตามระเบียบ เมื่อพลาดจึงเตรียมตัวสอบบรรจุครูใหม่ที่จังหวัดอ่างทอง สอบเสร็จเดินทางกลับ ไม่รู้ว่าสอบได้ที่เท่าไรเพราะไม่ได้ไปดูผลสอบเนื่องจากไม่อยากไปอยู่อ่างทอง ในเดือนเดียวกันไปสอบบรรจุครูที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้ลำดับที่ 35 แต่บรรจุรอบแรกเพียง 2 อัตรา ที่เหลือรอเรียกบรรจุซึ่งไม่รู้เมื่อไร จึงตัดสินใจออกหางานทำก่อนเปิดเทอมแรก ไปสมัครตามโรงเรียนราษฎร์หลายสิบโรงเรียนแต่ไม่มีโรงเรียนใดว่างรับครูวุฒิ พม.สักโรงเดียว ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ ศรีกาฬสินธุ์ พาไปสมัครเป็นพนักงานโรงแรมดุสิตธานี ผู้สัมภาษณ์เป็นผู้หญิงสาวสวย เธอถามว่าอายุเท่าไร เรียนจบอะไรมาบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า เรียนจบนักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรมสี่ประโยค อนุปริญญา พ.ม. และปริญญาตรีพุทธศาสตร์บัณฑิต เธอหัวเราะบอกว่าโรงแรมเรารับสมัครพนักงานหิ้วกระเป๋า วุฒิม.ต้น หนูคิดว่าท่านอาจารย์ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้ารับผมไว้รับรองว่าผมทำได้และทำได้ดีด้วยครับ เธอหัวเราะบอกว่า หนูไม่กล้ารับค่ะ เกรงจะทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง พนักงานหิ้วกระเป๋างานหนักและเหนื่อย เงินเดือนก็น้อย ท่านอาจารย์มีความรู้สูงควรไปสมัครเป็นครูอาจารย์ตามโรงเรียนจะเหมาะสมกว่านะคะ นะคะ เธอพูดยิ้ม ๆ เราทั้งสองจึงต้องเดินทางกลับมือเปล่าอย่างเคย วันต่อมาข้าพเจ้าไปสมัครเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนช่างกลบางซ่อน ท่านอาจารย์ให้การต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีดีมาก เชิญเข้าไปสัมภาษณ์ในห้องพักครู พอรู้ข้อมูลส่วนตัวของข้าพเจ้าก็ดูเหมือนจะรู้สึกพอใจมาก บอกว่าดีเลยครับท่านมหา โรงเรียนอยากได้คนมาช่วยอบรมนักเรียนอยู่พอดี ช่วงนี้นักเรียนของเรายกพวกตีกันบ่อย ท่านอาจารย์กลับไปรอฟังข่าวดี ขอหลักฐานผมไว้นะ หลังจากประชุมครูแล้วโรงเรียนจะมีจดหมายไปถึง หวังว่าเราคงได้มีโอกาสร่วมงานกันนะครับ ข้าพเจ้าเดินทางกลับโดยรถเมล์สายสนามหลวง – บางซ่อน พร้อมความหวังลึก ๆ ว่าต้องได้มาเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้อย่างแน่นอน
ได้งานทำ
ถึงวันเปิดเทอมท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ นำข่าวดีมาบอกว่าฝากงานให้ได้แล้ว พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่โรงเรียนวชิรธรรมสาธิตด้วยกัน ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากเพราะได้งานโรงเรียนที่ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์สอนวิชาพละศึกษา กลับจากไปวิ่งออกกำลังกายรีบอาบน้ำแต่งตัวเดินขึ้นทางรถไฟตามหลังท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรขึ้นรถเมล์ไปลงที่ตลาดบางนา ขึ้นรถโดยสารไปลงที่หน้าโรงเรียน เข้าไปรายงานตัวต่อผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นสุภาพสตรีผู้งามสง่า ทราบว่าท่านอายุสี่สิบกว่าปีแล้วแต่ยังครองตัวเป็นโสด เมื่อถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ได้มีการแนะนำตัวครูใหม่ซึ่งมีทั้งครูที่สอบรรจุได้สองคนและครูอัตราจ้างสามคน ข้าพเจ้าได้เป็นครูอัตราจ้างสอนวิชาภาษาอังกฤษชั้น ม.1 จำนวน 5 ห้อง เงินเดือนจ่ายตามวุฒิ 950 บาท ในเวลาไร่เรี่ยกันนั้น ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากอาจารย์ใหญ่โรงเรียนช่างกลบางซ่อนให้ไปรายงานตัวด่วน ข้าพเจ้าได้งานแล้วจะไปลาออกก็ดูจะเป็นการหักหน้าผู้ฝากงานให้ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายฝากท่านมหาสึกใหม่ซึ่งกำลังหางานที่เพื่อนแนะนำให้รู้จัก ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยกับท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย ทราบแต่เพียงว่าท่านมหาเป็นคนใต้ โหงเฮ้งดี และมีคุณวุฒิตรงตามที่โรงเรียนช่างกลบางซ่อนต้องการ ทราบในเวลาต่อมาว่าโรงเรียนช่างกลบางซ่อนรับท่านมหาเข้าทำงานด้วย
วิถีชีวิตใหม่
ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธ์พยายามแนะ นำเรื่องชีวิตทางโลกมากมายเช่นจะไปขึ้นครู ต้องพยายามทำให้เจ้าโลกเปิดเสียก่อน ข้าพเจ้าพยายามเปิดเจ้าโลกโดยใช้สบู่ช่วย อาทิตย์กว่า ๆ จึงทำได้สำเร็จ แต่สำเร็จเกินเป้าหมาย เพราะเปิดแล้วปิดไม่ได้เลยตลอดชีวิต แรก ๆ ลำบากมากเพราะต้องหาผ้าขนหนูมาหนุนไม่ให้เจ้าโลกสัมผัสกับกางเกง ทำให้นึกถึงชาวมุสลิมที่ทำพิธีขริบเจ้าโลก พวกเขาจะใช้ไม้ค้ำผ้าโสร่งเพื่อไม่ให้สัมผัสกับเจ้าโลกเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน รับเงินเดือนแล้วท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์พาไปขึ้นครูกับสาวโรงน้ำชาแถวพระโขนง แต่ทำไม่สำเร็จเพราะเรือล่มปากอ่าวเนื่องจากตื่นเต้นไม่เคยเห็นผู้หญิงสาวเปลือยกายมาก่อนในชีวิต พอมีครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองครั้งที่สามก็ตามมา เพราะชักจะรู้สึกติดใจในรสแห่งกามา หลายเดือนต่อมาได้ของแถมเป็นแผลริมอ่อน ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์แนะนำให้ลาป่วยสักครึ่งวันเพื่อไปให้คุณหมอตรวจรักษาที่หน่วยควบคุมกามโรคท่าเรือคลองเตย ข้าพเจ้านอนคิดอยู่สองวันแผลยิ่งกว้างและลึกลง จึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำ พอไปถึงเห็นหนุ่มสาวใส่แว่นตาดำนั่งบ้างยืนบ้างเพื่อรอรับการตรวจรักษา ข้าพเจ้านั่งดูคุณหมอซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงตรวจรักษาคนไข้ด้วยความหวาดเสียว เพราะให้คนไข้ชายยืนถ่างขา ถลกกางเกงลง เอามือค้ำฝาอาคาร บอกให้ทำเจ้าโลกแข็งตัวไว้ ใช้เหล็กเผาไฟจนแดงแยงเจ้าโลกอย่างน่าหวาดเสียว ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อคุณหมอผู้หญิงขานชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารีบเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าโต๊ะคุณหมออย่างว่าง่าย เธอซักประวัติแล้วอบรมข้าพเจ้าก่อนตรวจรักษาว่า คุณวิทิตหน้าตาก็ดี ทำไมไม่หาผู้หญิงดี ๆ มาเป็นคู่นอน ข้าพเจ้าตอบเบา ๆ ว่า ยังหาไม่ได้ครับคุณหมอ เธอบอกว่า พยายามหน่อยสิ ข้าพเจ้ายิ้มแห้ง ๆ ตอบว่า ก็พยายามหาอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังไม่มีผู้หญิงดี ๆ ร่วมมือด้วยสักคน เธอหัวเราะพร้อมออกคำสั่งให้ทำเหมือนคนอื่น ๆ แล้วฉีดยาโปเคนเข้าก้นหนึ่งเข็มซึ่งเจ็บมาก วันต่อมาข้าพเจ้าไปทำงานตามปกติ แต่เวลาเข้าสอนนักเรียนของขึ้นไม่ยอมลง จึงเอาชายเสื้อออกมาคลุมไว้ นักเรียนหญิงหัวโจกในห้องเรียนคนหนึ่งเห็นข้าพเจ้าแต่งตัวผิดปกติเดินผ่านโต๊ะเธอ ก็ถือวิสาสะเปิดชายเสื้อดูแล้วหันหน้าไปซุบซิบกันหัวเราะคิกคัก จึงต้องคอยระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ กว่าจะหายเป็นปกติก็หลายวัน ว่างจากการสอนข้าพเจ้าไปดูท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ฝึกซ้อมมวยไทยให้นักเรียน ชักติดใจเลยสมัครเป็นผู้ช่วยโค้ช มีหน้าที่ถือเป้าให้นักเรียนเตะและกอดคอตีเข่า บางครั้งเข่าพลาดเป้าเข้าท้องต้องขอเวลานอก พอถึงทีข้าพเจ้าลงนวมบ้างค่อยเอาคืน สนุกไปอีกแบบ ข้าพเจ้าได้เพื่อนใหม่ชื่ออาจารย์สาโรจน์กับท่านอาจารย์ไพโรจน์ สองพี่น้องจากจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นครูอัตราจ้างเหมือนกัน ตอนเย็นหลังเลิกเรียนทุกวันจะพากันเล่นบาสเกตบอลและแบดมินตันจนถึงเวลาเกือบสองทุ่มทุกคืน พวกเราห้าคนนอนห้องพักครูชั้นล่างด้วยกัน โดยเอาโต๊ะมาต่อกันกางมุ้งและเปิดพัดลมเพดานไล่ยุงและแมลง ท่านผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ซึ่งย้ายมาจังหวัดสระแก้วแก้ผ้าโชว์เจ้าโลกสั้นจู๋และหำเหี่ยวยานห้อยโตงเตง เดินโทงไปโทงมาในห้องพักครู พวกเราคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะให้ความร่วมมือ จึงทำตามเพื่อแสดงความเป็นพันธมิตร ถือคติว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ในห้องพักครูตอนกลางคืนจึงเป็นที่อยู่หลับนอนของมนุษย์เผ่าชีเปลือยห้าคน ข้าพเจ้าตื่นเช้าก่อนใคร ๆ จึงมีหน้าที่คอยปลุกทุกคนก่อนที่ภารโรงและลูกสาวจะมาเปิดประตูหน้าต่างห้องพักครูได้พบเห็นพวกชีเปลือยนอนบนโต๊ะ ซึ่งอาจทำให้เกิดเรื่องราวไม่ดีเดือดร้อนได้
วาสนา
ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์พยายามติดต่อครูสาว ๆ ในโรงเรียนให้หลายคน ซึ่งล้วนแต่สวยร่ำรวยและดีงาม หลายคนกำลังรอรถไฟขบวนสุดท้าย มีครูสาวสวยท่านหนึ่งชวนข้าพเจ้าไปเที่ยวบ้านที่จังหวัดระนอง ข้าพเจ้าตามเธอไปจนถึงบ้านของเธอ ได้พบคุณแม่ของเธอซึ่งมีฐานะดี มีเรือประมงให้เช่าหลายลำ ไปเช้าเย็นกลับ คุณครูอีกท่านหนึ่งเป็นลูกครึ่งไทยจีนสวยมากบ้านอยู่กรุงเทพฯให้อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยเป็นพ่อสื่อมาเจรจาติดต่อขอเป็นแฟน คุณครูอีกท่านหนึ่งนัดหมายให้ข้าพเจ้าไปให้เพื่อนซึ่งเป็นครูสาวมอญที่จังหวัดปทุมธานีดูตัว ข้าพเจ้าขึ้นรถเมล์ไปตามนัด แต่ไปถึงแค่สนามหลวงก็ตัดสินใจเดินทางกลับ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงครูอัตราจ้าง สิ้นปีก็หมดสัญญาจ้างแล้ว คงต้องไปหางานใหม่ที่มั่นคงกว่าซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะได้งานอะไรที่ไหน วันต่อมาข้าพเจ้าถูกคุณครูแม่สื่อต่อว่ามากมายที่ผิดนัด ข้าพเจ้าได้แต่ขอโทษที่ไม่กล้าไป คงเป็นเพราะข้าพเจ้ามีวาสนาน้อยจึงไม่กล้ารับไมตรีของคุณครูสาว ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ข้าพเจ้ายังคงสนุกกับการใช้ชีวิตเป็นหนุ่มโสด เแต่ละวันสนุกกับสอนภาษาอังกฤษฟุตฟิตฟอฟาย หาเรื่องตลกมาเล่าให้เด็ก ๆ หัวเราะสนุกสนาน ตอนเย็นเล่นกีฬาออกกำลังกาย พยายามลดละเลิกเที่ยวอาบอบนวด เงินเดือนออกตัดเสื้อผ้าใหม่เดือนละชุด เงินที่เหลือซื้อกินจนหมด แต่ละเดือนไม่เคยมีเงินเหลือเก็บ จึงไม่กล้ามีครอบครัว แม้จะรู้ว่าพวกเธอล้วนฐานะดี บางคนมีมรดกเยอะ ต้องการเพียงคนดีมีความรู้ที่คู่ควรมีความรักความจริงใจเป็นคู่ครอง แต่ข้าพเจ้ากลับมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร วันเสาร์วันอาทิตย์กลับไปนอนวัดมักกะสัน กลางวันชวนกันไปสนามกีฬา ฯลฯ ค่ำลงมานอนวัด
เจ็ดต่อหนึ่ง
ทุก เย็นวันศุกร์ข้าพเจ้ากับท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางกลับไปนอนที่วัด มักกะสัน พวกเราจะเดินบนรางรถไฟคนละข้างระยะทางประมาณ 1 กม.เพื่อทดสอบพละกำลัง เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องเดินทางกลับวัดคนเดียว ลงรถเมล์เดินข้ามถนนสุขุมวิทถึงปากทางรถไฟไปวัดมักกะสันก็เห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณเจ็ดคนนั่งขวางทางอยู่ ข้าพเจ้าจึงเดินเลี่ยงพวกเขาไปขึ้นทางรถไฟและขึ้นไปเดินบนรางรถไฟเหมือนเช่น เคย มิได้เฉลียวใจว่าพวกเขาจะเป็นคนร้าย ข้าพเจ้าเดินผ่านมาได้สักประมาณ 40 เมตรก็ได้ยินเสียงคนวิ่งตามหลังมาจึงกระโดดลงจากรางรถไฟลงไปยืนจังก้าบนไม้หมอนรองรางรถไฟเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนจะชักปืนตามที่ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เคยแนะนำ หันหน้าไปเผชิญกับพวกเขา พวกเขาวิ่งมาแค่สองคนเท่านั้น คิดว่าสู้ได้แน่นอน พอทั้งสองเห็นท่าทางข้าพเจ้าสู้ก็ยกมือไหว้ขอเงิน ข้าพเจ้าล้วงกระเป๋าให้เงินพวกเขาคนละ 5 บาท บอกพวกเขาว่าพี่เหลือเงินแค่นี้เอง พวกที่เหลือวิ่งตามมาอีก ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดี หนึ่งต่อสองคิดว่าพอสู้ได้ ถ้าหนึ่งต่อเจ็ดคงไม่ไหวแน่ จึงหันหลังใส่เกียร์หมาวิ่งตามหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งไปอย่างสุดฝีเท้า คอยชำเลืองดูว่าพวกเขาจะวิ่งตามข้าพเจ้ามาหรือไม่ พอเห็นว่าพวกเขาไม่วิ่งตามมาอีกก็หยุดวิ่ง ขึ้นไปเดินบนรางรถไฟกลับวัดมักกะสันอย่างปลอดภัย เช้าวันต่อมาหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวพาดหัวว่าแก๊งวัยรุ่นดักจี้ข่มขืนชิงทรัพย์ เนื้อในของข่าวความว่านางสาวอ้อย(นามสมมุติ)กลับจากทำงานตอนค่ำถูกแก๊งวัยรุ่นดักจี้ปล้นข่มขืนและทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนร้องครวญครางขอความช่วยเหลืออยู่ใต้พงหญ้าข้างทางรถไฟใกล้ถนนสุขุมวิท ต่อมามีผู้ผ่านไปพบเข้าจึงแจ้งตำรวจนำเธอส่งโรงพยาบาล ที่สำคัญคือสถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่ข้าพเจ้าวิ่งหนีพวกวัยรุ่นเมื่อวานนี้นั่นเอง
จะเลือกคู่ครองอย่างไร
วันหยุดเสาร์อาทิตย์พากันไปดูหนังฟังเพลงตามโรงภาพยนตร์ ไปสนามศุภชลาศรัยเพื่อชมการฝึกซ้อมกีฬาชนิดต่าง ๆ ชมการแข่งขันฟุตบอล วอลเล่ย์บอล ตะกร้อ ไปเที่ยวสนามหลวง สวนจตุจักร พิพิธภัณฑ์ ไปลงเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา สถานที่ใดต้องจ่ายค่าชมแพงก็ผ่านไปก่อน ค่ำลงกลับไปนอนที่วัดมักกะสัน นอนคิดทบทวนตัวเองว่า อายุเราก็มากแล้ว เราจะเริ่มต้นทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร ได้คำตอบว่าสอบเสร็จสิ้นสัญญาจ้างแล้วจะกลับบ้านที่สกลนคร ไปสอบบรรจุเป็นครูสอนอยู่บ้านนอก ถ้าหากวันข้างหน้าต้องมีครอบครัวเราจะเลือกอย่างไร ระหว่างเป็นหนูตกถังข้าวสารกับหนูหาอาหารกินเอง ถ้าเราเลือกเป็นหนูตกถังข้าวสารก็ต้องแสวงหาผู้หญิงที่ฐานะดีร่ำรวย ซึ่งแน่นอนว่าต้องแต่งงานกับสาวแก่ที่อาจมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันได้แก่ขี้เหร่ ปากร้าย จุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น ตีนชี้ มือใช้ ยึดรายได้ทั้งหมดแต่ให้เงินสามีใช้วันละยี่สิบบาทเป็นค่ารถเมล์และค่าอาหารกลางวัน ตอนเย็นต้องทอนให้เธอสามบาท ใช้งานสามีเหมือนทาส ทำให้เราต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต เพราะสาวสวยและใจดีคงไม่มีเหลือถึงเราเป็นแน่ ถ้าจะแต่งงานกับแม่หม้ายก็จะมีเรือพ่วงตามมาอย่างน้อยก็ลำสองลำ ปัญหาลูกใหม่ลูกเก่าก็อาจจะตามมาให้ลำบากใจในภายหลังได้ เห็นเพื่อนคนหนึ่งตัดสินใจเลือกเป็นหนูตกถังข้าวสาร โดยแต่งงานกับแม่หม้ายที่เกิดก่อนแม่แก่คราวยายแล้วสบายจริง ๆ เพราะได้เมียรวย ไม่มีปัญหาเรื่องลูกเธอลูกฉัน เพราะลูก ๆ ของเธอแยกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว ลูกใหม่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะอายุเธอถึงวัยทองหลายปีแล้ว ไม่สามารถมีลูกได้อีก ความรู้สึกก็ชักจะเอนเอียงไปทางเป็นหนูตกถังข้าวสาร แต่เราจะหาถังข้าวสารดังว่าได้ที่ไหน….ถ้าเลือกเป็นหนูหาอาหารกินเองจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าคิดต่อไปว่า ก็คงต้องแสวงหางานทำ ถ้ามีงานทำเป็นหลักเป็นฐานมั่นคงแล้ว คงมีสาว ๆ สวย ๆ อยากแต่งงานด้วยให้เลือกมากมาย ฝรั่งบอกว่าถ้าผู้ชายเรามีโอกาสเลือกคู่ครองให้เลือกผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่าตัวเอง 7 ปี ด้วยเหตุผลว่า ความเจริญเติบโตทางด้านร่างกายและอารมณ์ของผู้หญิงจะเร็วกว่าผู้ชาย 7 ปี คนไทยบอกว่าอายุผู้ชายควรจะมากกว่าผู้หญิงซักไม่เกิน 3 ปี คนจีนบอกว่าให้เอาอายุผู้ชายตั้งหารด้วย 2 แล้วลบด้วย 7 ผลลัพธ์จะเท่ากับอายุของผู้หญิงที่เราจะเลือกเป็นคู่ครอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักเกิดด้วยเหตุ 2 ประการคือ 1. เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน 2. เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า เมื่อเราตัดสินใจไปเป็นครูบ้านนอกที่สกลนคร เนื้อคู่ของเราก็คงเป็นสาวสกลนครคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เรียกไปทานข้าวก้นบาตรด้วยกัน
ลาก่อนบางกอก
หลังสอบเสร็จส่งคะแนนนักเรียนและสิ้นสัญญากับโรงเรียนวชิรธรรมสาธิตแล้ว ข้าพเจ้าไปรับเงินเดือนสุดท้าย 950 บาท บอกลาเพื่อนครูที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ยังจดจำภาพใบหน้าของคุณครูสาวสวยที่เคยให้ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธ์เป็นพ่อสื่อให้ เธอเดินมายืนโบกมือให้ข้างอาคารเรียน ดูเหมือนว่าเธอยังมั่นคงและจริงใจกับข้าพเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ายิ้มให้เธอพร้อมโบกมืออำลา ก่อนหันหลังเดินจากมา ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาจารย์สาโรจน์และท่านอาจารย์ไพโรจน์เดินเข้ามาสมทบที่หน้าโรงเรียนเดินไปขึ้นรถสองแถวที่จอดรออยู่ เมื่อถึงปลายทางที่ถนนสุขุมวิท พวกเราลงจากรถสองแถวจับมือกล่าวคำอำลาและอวยพรให้แก่กันก่อนแยกย้ายไปต่อรถเมล์กลับบ้าน ท่านอาจารย์สาโรจน์กับท่านอาจารย์ไพโรจน์กลับบ้านเกิดที่จังหวัดเพชรบุรีเพื่อเตรียมตัวสอบบรรจุครูในเดือนเมษายน ท่านอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ไปพักอยู่ที่บ้านญาติแถวพระโขนง ส่วนข้าพเจ้าเดินทางกลับวัดมักกะสันเพื่อกราบลาและถวายสิ่งของที่เตรียมมาแด่ท่านเจ้าอาวาส ไปกราบลาคุณป้าสังวาลย์ที่บ้านริมคลองแสนแสบผู้ซึ่งเคยกรุณาเป็นโยมอุปัฏฐากเมื่อครั้งบวชเป็นพระ นั่งรถเมล์ไปยกมือไหว้ลาวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ตลอดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตามเส้นทางเป็นครั้งสุดท้าย กลับวัดมักกะสันเข้าไปกราบลาพี่สนิทซึ่งเรียนจบปริญญาโทและเดินทางกลับมาจากประเทศอินเดียหลายเดือนแล้ว ตอนเย็นพี่สนิทและลูกศิษย์วัดกุฏิเดียวกันไปส่งข้าพเจ้าขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดสกลนครเพื่อเตรียมตัวสอบบรรจุครูในเดือนเมษายน ข้าพเจ้านั่งรถไฟหลับบ้างตื่นบ้าง คิดถึงวันที่เป็นสามเณรหนุ่มอายุ 19 ปีเดินทางมาอยู่กรุงเทพฯด้วยความมุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรียนเป็นเวลา 11 ปี กับวันนี้ที่กลายเป็นคนธรรมดาอายุย่างเข้าสู่วัย 30 ปีกำลังเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยความรู้สึกที่มุ่งมั่นหางานทำเพื่อสร้างอนาคตให้แก่ตนเอง ตรงกับที่ปราชญ์อีสานกล่าวไว้ว่า สิบปีอาบน้ำบ่หนาว ซาวปีเล่นสาวบ่เปิด สามสิบปีตื่นเตลิดก่อนไก่ สี่สิบปีไปไฮ่มาทอดขา ห้าสิบปีไปนามาทอดหุ่ย หกสิบปีเป่าขลุ่ยบ่ดัง เจ็ดสิบปีตีระฆังบ่ม่วน แปดสิบปีหนักหน่วงด่วนมาหู เก้าสิบปีฮู้ว่าพี่น้องมาหาฮ้องไห่ ร้อยปีบ่ไข้บ่ตาย ร้อยสิบปีเห็นแดดว่าแม่นไฟไหม้ ร้อยยี่สิบปีไข้ก็ตายบ่ไข้ก็ตาย
บ้านเกิด
ข้าพเจ้าเดินทางถึงบ้านด่านม่วงคำประมาณ 5 โมงเย็นวันที่ 12 มีนาคม 2518 เข้าไปกราบพ่อกับแม่ รับไหว้น้องชายและน้องสาวที่เพิ่งกลับจากงานและเรียนหนังสือ ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่ได้พบน้อง ๆ น้องสาวคนโตและน้องสาวคนรองออกเรือนไปแล้ว เหลือน้องชายคนเดียวช่วยพ่อแม่ทำนา ส่วนน้องชายอีกสองคนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ โดยพักอยู่ที่วัดมักกะสัน ข้าพเจ้านำสบู่ยาสีฟันและขนมนมเนยที่เตรียมมาลงไปถวายพระอาจารย์คำผายที่กุฏิหลังใหญ่ ดูเหมือนท่านจะดีใจมากที่ได้เห็นข้าพเจ้ากลับมาเยี่ยม ข้าพเจ้าสนทนากับท่านจนใกล้ค่ำจึงกราบลา น้องสาวคนเล็กสองคนที่กลับจากเรียนหนังสือในเมืองรอชวนไปอาบน้ำในลำน้ำก่ำ เมื่อไปถึงวังน้ำ ข้าพเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกระโจนลงว่ายน้ำดำผุดดำว่ายไปมาด้วยความคิดถึง สิบกว่าปีแล้วที่ไม่เคยว่ายน้ำ น้ำก่ำยังคงเย็นฉ่ำเหมือนเดิม น้องสาวพากันหัวเราะและตะโกนเรียกให้ว่ายน้ำกลับมาถูสบู่ อาบน้ำเสร็จรีบพากันกลับบ้านเพราะใกล้ค่ำแล้ว พบพ่อกำลังผูกวัวควายไว้กับเสาใต้ถุนบ้าน แม่ น้องชายและน้องสาวช่วยกันทำอาหารและจุดตะเกียงก๊อกไว้บนชานบ้าน อาหารค่ำมื้อนั้นเป็นข้าวเหนียวป่นเขียดแกงหอย และแกงไก่ของน้องชายอร่อยสุด ๆ จัดไว้สามชุดเพราะเป็นครอบครัวใหญ่มีสมาชิกมาก กินข้าวเสร็จมีญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงมาเยี่ยมหลายคน อาจารย์ใหญ่เพื่อนพ่อก็มาด้วย พวกเรานั่งบ้างนอนบ้างคุยกันจนดึก ข้าพเจ้าสนุกกับการตอบคำถามซึ่งจริงบ้างโม้บ้าง เรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ ๆ ญาติ ๆ กลับไปแล้ว ทุกคนเข้านอนในบ้านและดับตะเกียง ความมืดเข้ามาปกคลุม ข้าพเจ้าคลานเข้านอนในห้องพระที่น้องสาวจัดไว้ให้ เอาสองมือคลำดูพบที่นอนหนานุ่มและผ้าห่มนวมผืนใหญ่ เป็นครั้งแรกในหลายสิบปีที่ต้องนอนโดยไม่กางมุ้ง เพราะทุกคนก็นอนโดยไม่กางมุ้งเหมือนกัน ยุงก็คงพอมีบ้างตัวสองตัว ดึกแล้วอากาศเริ่มเย็น หลังจากไหว้พระสวดมนต์แล้วจึงล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย เสียงแม่ถามดังมาจากห้องข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงว่า แม่ให้น้องจัดที่นอนให้มีที่นอนหมอนผ้าห่มครบไหมลูก ข้าพเจ้าตอบไปว่าครบครับแม่ แล้วคลี่ผ้าห่มนวมผืนหนาออกห่ม เอาเสื้อยืดคลุมหน้าป้องกันยุง เปิดช่องเล็ก ๆ ตรงรูจมูกสำหรับหายใจ พยายามนึกภาวนาถึงความตายเพื่อให้จิตสงบ และหลับลึกหลับนาน
งานหนัก
ทุกวันในตอนบ่ายอากาศร้อนมาก ข้าพเจ้ามักจะเข้าไปอ่านหนังสือที่ใต้ต้นไม้ภายในวัดเพื่อเตรียมตัวสอบบรรจุครูในเดือนเมษายน 2518 ข้าพเจ้าใช้วุฒิ พ.ม.ในการสมัครสอบ และไปสอบที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ในเมืองสกลนคร สอบได้ลำดับที่ 77 ในจำนวนผู้เข้าสอบ 278 คน สอบได้ทุกคน บรรจุรอบแรกในเดือนพฤษภาคม จำนวน 20 คน พอ ย่างเข้าฤดูฝนข้าพเจ้าไปนอนนากับพ่อแม่และน้องชาย โดยมีน้องสาวคนรองและน้องเขยที่ออกเรือนไปแล้วแต่พ่อแม่ยังไม่ได้แบ่งที่นาให้มาร่วมทำนาด้วย ฝนตกหนักและตกติดต่อกันหลายวันทำให้น้ำเจิ่งนองทั่วท้องทุ่ง คันนาและเหมืองฝายขาดหลายแห่ง ต้องระดมกำลังกันตอกเสาเข็มและขนดินถมท่ามกลางสายฝนทั้งวัน ตกเย็นปวดหลังนั่งไม่ได้ต้องได้นอนกินข้าว ตอนบ่ายข้าพเจ้ามีหน้าที่จูงควายหนุ่มฝึกไถนา โดยมีพ่อเป็นผู้ถือหางไถ การเดินนำหน้าควายบนรอยไถใต้น้ำลำบากทุลักทุเลและเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ บางครั้งสะดุดตอไม้ได้แผลได้เลือด พ่อจึงให้เปลี่ยนงานใหม่ไปถอนกล้ากับน้องสาว ถอนไปเตะไปสนุกดีแต่ปวดหลังเพราะต้องก้มถอน หลังจากไถดะได้เกือบเต็มท้องทุ่งแล้วชลประทานเปิดประตูระบายน้ำหนองหารลงมาทำให้น้ำในลำน้ำก่ำล้นตลิ่งหลากเข้าท่วมสองฟากฝั่งอย่างกว้างขวาง พ่อให้ข้าพเจ้ากลับไปนอนที่บ้าน
ปลาเจ้าแม่
ตอนเย็นทิดม้าว(สติเฟื่อง)หนุ่มโสดวัย หกสิบกว่าปี ซึ่งปลูกกระท่อมน้อยอยู่คนเดียวในสวนไผ่ของแกที่ท้ายหมู่บ้านมานานหลายสิบปี แล้ว แกประกอบอาชีพปลูกพริกและพืชผักสวนครัว ขายได้เงินแล้วนำมาฝากพ่อของข้าพเจ้าเป็นประจำด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ มากว่าคนอื่น ๆ แกชอบบ่นพึมพำเอะอะโวยวายและทะเลาะทุ่มเถียงกับตัวเองในวันโกนวันพระเป็น ประจำ สังเกตดูแกจะรู้สึกดีใจมากที่ได้คุยกับข้าพเจ้า เพราะแกมักจะคุยเป็นตุเป็นตะส่วนข้าพเจ้าก็จะทำทีพูดสนับสนุนเป็นปี่เป็น ขลุ่ยเสมอ แกไว้ผมหงอกขาวยาวถึงน่องจึงต้องเกล้าผมตลอดเวลา ข้าพเจ้าถามแกว่าทำไมจึงไว้ผมยาวไม่เปลืองยาสระผมหรือ แกบอกว่าอยากตัดผมให้สั้นเหมือนกันแต่ยังไม่มีเงิน ข้าพเจ้าจึงพาแกไปให้ช่างตัดผมให้ ความจริงแกมีเงินหลายพันบาทที่ฝากไว้กับพ่อของข้าพเจ้าโดยไม่ยอมเบิกมาใช้ เพราะกลัวเงินหมด แกชวนข้าพเจ้าไปวางเบ็ดราวและข่ายดักปลาตามห้วยหนองข้างน้ำก่ำที่น้ำจากลำ น้ำก่ำไหล่บ่าท่วมถึง ข้าพเจ้าไปซื้อเบ็ดเบอร์ 20 และเบอร์ 17 พร้อมเชือกไนล่อนมาทำเบ็ดราวสำหรับจับปลาหลด และปลาทั่วไป และซื้อข่ายดักปลาจำนวนหนึ่งเพิ่มเติมจากอุปกรณ์ของทิดม้าวซึ่งได้นำไปวาง ดักปลาตามที่ต่าง ๆ เรียบร้อยก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนคัดท้ายเรือ ทิดม้าวเป็นคนเลือกทำเลวางเบ็ดราวและตาข่ายดักปลา พวกเรากลัวปลิงพอกันจึงไม่มีใครกล้าลงลุยน้ำ นั่งหันหน้าคุยกันวางเบ็ดราวและตาข่ายดักปลาประมาณ 6 ที่เสร็จแล้วพากันพายเรือกลับ และพากันพายเรือเทียวไปเก็บปลาวันละ 2 เที่ยวทุกเช้าเย็น แบ่งส่วนหนึ่งไว้กินอีกส่วนหนึ่งนำไปส่งผู้ทำนา ข้าพเจ้าพายเรือไปส่งปลาทุกวัน จึงลองนำเบ็ดราวไปวางไว้ที่ลำห้วยตามทางไปนา จำนวน 2 ราว เก็บปลาที่หากินบนผิวน้ำได้เพิ่มทุกวัน เช่นปลาตะเพียน ปลาเนื้ออ่อน เป็นต้น มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าพายเรือไปกู้เบ็ด มองเห็นพุ่มไม้ที่ผูกราวเบ็ดสั่นไหวอย่างแรง ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมาก คิดว่าปลาใหญ่ติดเบ็ดแล้วเหมือนวันก่อน ๆ แต่สายเบ็ดของเราคงขาดอย่างเคย ข้าพเจ้าค่อย ๆ สาวราวเบ็ดไปถึงกลางลำห้วยเห็นปลาสวายตัวใหญ่ติดเบ็ดกำลังดิ้นอย่างเต็มกำลัง จึงค่อย ๆ สาวราวเบ็ดเข้าไปใกล้ตัวมัน รู้สึกประหลาดใจที่เห็นปลาสวายเอาหางติดเบ็ด จึงค่อย ๆ จับประครองดึงมันขึ้นมาบนเรือ เห็นเบ็ดเกาะที่โคนหางของมันและยังมีสายเบ็ดพันรอบโคนหางมันอีกสามรอบ มันจึงดิ้นไม่หลุด ข้าพเจ้าปลดเบ็ดออกจากโคนหางของมัน เสียบเหยื่อไส้เดือนดินเบ็ดทุกตัว วางเบ็ดราวไว้ที่เดิมแล้วพายเรือไปนาด้วยความรู้สึกขอบคุณเจ้าแม่วารีแห่งห้วยนาน้อยที่ให้ปลาสวายตัวใหญ่ หลังจากจอดเรือแล้วข้าพเจ้าใช้ไม้พายหาบข้องกับปลาสวายตัวใหญ่ไปนา พอถึงกระท่อมนาคนงานสาว ๆ ที่มารับจ้างดำนารุมถามเรื่องปลาสวายตัวใหญ่ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องปลาสวายเอาหางติดเบ็ดให้พวกเธอฟัง พวกเธอพากันหัวเราะ บางคนแนะนำให้ข้าพเจ้าไปสะเดาะเคราะห์รับโชค ข้าพเจ้าบอกว่ากำลังมีเคราะห์ดีจึงไม่จำเป็นต้องสะเดาะ เพราะอาจทำให้เคราะห์ดีหนีหายหมด มีแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีเคราะห์ดีอย่างนี้ทุกวัน ถึงเวลาพักเที่ยงวันทุกคนนั่งล้อมวงทานอาหารมื้อกลางวัน มีแกงปลา ป่นกบ และลาบปลาสวายที่เอาหางติดเบ็ดตัวนั้น
ปลิงยักษ์
ตอน เย็นบรรเลง มุลเมืองแสน เพื่อนที่เคยเรียนหนังสือสมัยยังเป็นนักเรียนชั้นประถมชวนพายเรือไปวางเบ็ดราวบริเวณหนองริมแม่น้ำก่ำที่น้ำหลากไหลบ่าท่วมถึง เลือกทำเลที่น้ำไหลเอื่อย ๆ เพื่อนแนะนำว่า น้ำนิ่งมักจะมีปลิงควาย หลังจากเลือกทำเลได้แล้วก็ผูกเรือไว้กับพุ่มไม้น้ำ นำไม้ไผ่หลักเบ็ดและเชือกไนล่อนเขียวลงลุยน้ำลึกประมาณหน้าอกถึงคอ ปักหลักเบ็ดต้นแรกพร้อมผูกราวเบ็ดไว้ให้เหนือน้ำ เดินลุยน้ำไปในทิศทางที่ขวางน้ำไหลเพื่อป้องกันมิให้เบ็ดที่จะนำมาแขวนไหลมารวมกัน เมื่อถึงปลายทางสุดราวเบ็ดก็ปักหลักและผูกราวเบ็ดเหนือนำให้ตึง เดินลุยน้ำกลับไปที่เรือนำเบ็ดที่ผูกเชือกด้ายสีขาวยาวประมาณหนึ่งศอกจำนวน ประมาณห้าสิบหกสิบตัวมาเสียบเหยื่อไส้เดือนดินในกระป๋องที่เตรียมมา ฟังเพื่อนอธิบายกลวิธีการวางเบ็ดราวว่า ถ้าอยากได้ปลาดุก ปลาหลด ปลาไหล ปลากราย บางครั้งได้เต่า ได้งูน้ำ ให้เลื่อนราวเบ็ดลงต่ำติดดิน เพราะปลาพวกนี้จะหากินเหนือผิวดิน ถ้าต้องการปลาตะเพียน ปลายอน ปลาสวาย ให้เลื่อนราวเบ็ดขึ้นมาที่ผิวน้ำ เพราะปลาจำพวกนี้จะลอยหากินสูงใกล้ผิวน้ำ แต่ถ้าเลื่อนราวเบ็ดไว้ที่ความลึกตรงกลางหรือประมาณเอวเราจะได้ปลาหลากชนิด เช่นปลาหมอ ปลาช่อน ปลาเชือม ปลาตะเพียน ปลาสวายเป็นต้น ข้าพเจ้านำเบ็ดไปผูกไว้ที่ราว วางระยะให้ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร คิดว่าพรุ่งนี้ต้องได้ปลาดุกอุยอ้วน ๆ สักตัวสองตัวเป็นอย่างน้อย จึงเลื่อนราวเบ็ดด้านปลายสุดลงไว้ติดดินแล้วเดินบ้างว่ายบ้างมายังต้นทาง ขณะที่ว่ายข้ามตรงลำห้วยก็รู้สึกเหมือนมีเศษผ้าสีดำมาพาดที่ข้างคอ จึงเอามือจับดึงออกเบา ๆ แต่มันไม่ออก จึงก้มดูพบว่ามันคือปลิงควายขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือความยาวเกือบรอบคอ ข้าพเจ้าตกใจสุดขีดร้องโวยวายพยายามใช้มือแกะดึงปลิงออกจากคอ พอดึงข้างหนึ่งหลุดอีกข้างหนึ่งเกาะติดหนึบ ดึงกลับไปกลับมาไม่ยอมหลุดสักที จึงตั้งสติกลั้นใจใช้สองมือจับปลิงทั้งสองข้างดึงพร้อมกัน คราวนี้ปลิงมันหลุดจากคอแต่มันเกาะติดที่มือข้างหนึ่ง พอดึงปลิงหลุดจากมืออีกข้างหนึ่งมันก็เกาะติดมืออีกข้างหนึ่งกลับไปกลับมา ยังกะลิงแก้แห จึงตั้งสติใหม่ดูให้รู้ว่าตรงไหนเป็นก้นตรงไหนเป็นหัว พยายามแกะดึงตรงก้นมันออกแล้วรีบขว้างมันออกไปให้ไกลที่สุด ข้าพเจ้ารีบเดินลุยน้ำกลับไปที่เรืออย่างทุลักทุเลโดยลืมเอาราวเบ็ดอีกด้านหนึ่งลงติดดิน เพื่อนนั่งคอยอยู่บนเรือเพราะวางเบ็ดราวเรียบร้อยแล้ว ขณะพายเรือกลับ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังอย่างตื่นเต้น เพื่อนบอกว่าถึงฤดูน้ำหลากฝูงควายพากันไปหากินบนที่ดอนกันหมด ฝูงปลิงจึงหิวโซเพราะไม่ได้ดูดเลือดควายมานานลำตัวมันจึงเล็กยาวและอ่อน เวลาเกาะจึงเหนียวหนึบดึงออกยาก มาวางเบ็ดราวแทบทุกวันตั้งหลายปีก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ทายว่าพรุ่งนี้ปลาต้องติดเบ็ดอื้อเลย เรือจอดเทียบท่าแล้วพวกเราเดินคุยกันกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามลืมเรื่องปลิงตัวนั้น เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องพายเรือกลับไปกู้เบ็ดที่เดิมตามที่ได้นัดหมายกันไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ากับเพื่อนพายเรือไปกู้เบ็ด โชคดีไม่เจอปลิงแต่ได้ปลาหลายชนิดจนเต็มข้อง เพราะลืมเอาราวเบ็ดด้านหนึ่งลงติดดิน ทำให้ราวเบ็ดมีทั้งส่วนที่ติดดิน กลางน้ำและผิวน้ำ
จักรยานคนจน
สมัยนั้นจักรยานเป็นพาหนะที่จำเป็น คนในวัยหนุ่มสาวต้องขี่จักรยานเป็น ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งที่เห็นเด็ก ๆ พากันขี่จักรยานไปไหนมาไหนได้ จึงไปเอารถจักรยานเก่ารุ่นเก๋ากึ๊กไร้เบรกที่จอดไว้ใต้ถุนเล้าไปให้ช่างซ่อมเปลี่ยนยางนอกยางในให้ ไปซื้อสีน้ำมันสีขาวมาทาให้ขาววับ พยายามหัดขี่ที่ถนนข้างวัด เพราะเป็นที่ลาดเอียงลงสู่น้ำก่ำ วันแรก ๆ ก็พยายามหัดจูงประครองไม่ให้จักรยานล้ม จูงไปจูงมาอยู่หลายเที่ยว สมบัติน้องสาวกลับจากโรงเรียนเห็นข้าพเจ้าจูงจักรยานกลับไปกลับมาก็หัวเราะชอบใจ บอกว่าถ้าพี่ไม่ลงมือขี่เมื่อไหร่มันจะเป็น มานี่จะจับให้ พี่ขึ้นนั่งบนอานเร็ว ข้าพเจ้าจึงทำตามอย่างว่าง่าย พอข้าพเจ้านั่งเรียบร้อยเธอก็สอนว่า จักรยานพี่ไม่มีเบรก ถ้าต้องการหยุดรถให้พี่ใช้เท้าเหยียบล้อหน้าเอาไว้นะ สอนจบหลักสูตรแล้วก็ปล่อยมือให้ข้าพเจ้าลองถีบไปเอง เนื่องจักรยานไม่มีเบรก มันจึงไหลไปตามความลาดชันของถนน เร็วขึ้น ๆ ข้าพเจ้าตกใจสุดขีดพยายามหยุดมันตามที่เพิ่งเรียนจบมา แต่ทำอีท่าไหนไม่รู้ จักรยานพลิกคว่ำลงคูข้างถนน เดชบุญที่ศีรษะปลอดภัย แต่เป็นหัวแม่เท้าที่กระแทกกับก้อนหินอย่างแรงจนแตกเลือดไหล ต้องหยุดทำการรักษาหลายวัน น้องสาวหัวเราะชอบใจแต่เธอก็ต้องเป็นธุระหายามาทาแผลให้จนหาย พ่อหัวเราะหึ ๆ บอกว่าเราอายุมากแล้วหัดยากหน่อย อย่างพ่อนี่ไม่หัดเลย เดินเอาดีกว่า ถึงช้าหน่อยแต่ปลอดภัยแน่นอน พอแผลหายข้าพเจ้าพยายามหัดใหม่อีกครั้งจนสามารถขับขี่รถจักรยานได้อย่างสนุกและปลอดภัย
เลือกโรงเรียน
ประมาณต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2518 น้องสาวของเพื่อนที่ฟังรายการวิทยุ 909 สกลนคร ก็นำข่าวดีมาบอกว่า ทางราชการเรียกให้ไปรายงานตัวในวันที่ 18 สิงหาคม 2518 เวลา 09.00 น. ที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ถึงวันนัดอาจารย์นิวรณ์ซึ่งเป็นน้องชายรับอาสาพาขึ้นรถโดยสารไปรายงานตัวและเลือกโรงเรียนที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ข้าพเจ้ามีสิทธิ์เลือกก่อนครูใหม่หลายท่าน แต่เนื่องจากทั้งข้าพเจ้าและน้องชายไม่รู้ข้อมูลพื้นฐานของแต่ละโรงเรียนว่าตั้งอยู่ที่ไหน พื้นที่เสี่ยงภัยหรือไม่ การคมนาคมสะดวกสบายหรือทุรกันดาร น้องชายถามข้าพเจ้าว่าเอาไงดีพี่ ข้าพเจ้าตอบว่า พี่อยู่ไหนก็ได้น้องตัดสินใจให้เลย น้องชายนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า มีโรงเรียนที่เคยได้ยินชื่ออยู่ 3 โรงเรียนคือโรงเรียนบ้านกุดจิก โรงเรียนบ้านต้าย และโรงเรียนบ้านเจริญศิลป์ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของอำเภอสว่างแดนดิน เราเลือกโรงเรียนบ้านเจริญศิลป์ก็แล้วกัน ชื่อเพราะดีน่าจะอยู่ใกล้ถนนใหญ่ และที่สำคัญมีอาจารย์ลำพูน สุวรรณเจริญ คนบ้านเราไปเป็นครูอยู่ที่นั่น คงพอขอพักอาศัยได้ชั่วคราว คุณครูผู้หญิงที่รอเลือกคนถัดไปนั่งอมยิ้ม หลังจากรายงานตัว ปฐมนิเทศ และรับหนังสือส่งตัวจากเจ้าหน้าที่แล้ว ข้าพเจ้ากับน้องชายพากันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวเดินทาง เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทาง ตอนเช้าพ่อเอาไก่ต้มหนึ่งตัวไปให้ลุงเชียงไลเจ้าจ้ำประจำหมู่บ้านให้ช่วยพาไปบนบานศาลกล่าวผีปู่ตาที่ศาลในป่าไผ่ เพื่อส่งข่าวเรื่องลูกหลานจะได้ไปเป็นครูในต่างถิ่น และขอให้ผีปู่ตาช่วยดูแลปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ตกเย็นพ่อกับแม่และน้อง ๆ ช่วยกันเตรียมอาหารและเชิญญาติพี่น้องมาร่วมสังสรรค์ผูกแขนข้าพเจ้าเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทาง
ไหว้บรรพชน
เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อกับแม่ตื่นลุกนึ่งข้าวเตรียมอาหารสำหรับลูก ๆ และไปถวายพระเณรที่วัด ข้าพเจ้ารีบทำธุระส่วนตัวแล้วทานอาหารเช้า และไปกราบลาพระอาจารย์คำผาย ท่านฝากว่า หากมีเวลาให้ไปเยี่ยมคุณครูคำมุข น้องชายของท่านที่เป็นครูอยู่บ้านโคกสี อำเภอสว่างแดนดินด้วย และไปกราบเจดีย์ญาครูคำเพื่อขอความเป็นสิริมงคลเหมือนทุกครั้งที่ต้องไปอยู่ต่างถิ่น คุณย่าของข้าพเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนผู้อพยพได้เล่าเรื่องราวการอพยพให้ข้าพเจ้าฟังก่อนนอนจนจำได้ขึ้นใจว่า พวกเราเป็นชาวผู้ไทย เมื่อก่อนปู่ย่าเราอยู่บ้านป่ากล้วย เมืองมหาชัยกองแก้ว ประเทศลาว หมู่บ้านของเราตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนประเทศลาวกับประเทศเวียตนาม ได้รับความเดือดร้อนมากเพราะทั้งสองประเทศอ้างว่าเป็นดินแดนของตน ทุกปีเจ้าเมืองลาวจะส่งคนมาคัดเลือกเอาสาว ๆ ที่หน้าตาดีในหมู่บ้านไปปรนนิบัติรับใช้ สิ้นปีก็นำมาส่งคืนแล้วคัดเลือกเอาสาว ๆ ชุดใหม่ไป และต้องระดมผู้คนในหมู่บ้านไปตัดใบลานมาตากแห้งสำหรับสานหมวกส่งไปเป็นบรรณาการให้เจ้าเมืองเวียตนาม จนพูดกันติดปากว่า หัวช่วยแกว แอวช่วยลาว ประกอบกับหนุ่มผู้ไทยในหมู่บ้านที่ท่องเที่ยวมาถึงเมืองสกลนคร โชคดีได้เป็นลูกเขยของพระยาประจันตะประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนครในสมัยนั้นได้กลับไปชักชวนชาวผู้ไทยในหมู่บ้านต่าง ๆ ให้อพยพข้ามโขงมาอยู่ที่เมืองสกลนคร ญาครูคำกับท้าวศรีสุราชซึ่งเป็นปู่ทวดของข้าพเจ้าได้พาชาวผู้ไทยบ้านป่ากล้วยเกือบทั้งหมด ขี่ช้างขี่ม้าขี่วัวขี่ควายไล่ต้อนฝูงวัวควาย อุ้มลูกจูงหลาน ว่ายน้ำข้ามโขงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คุ้มวัดพระธาตุเชิงชุมเมืองสกลนคร ส่วนครอบครัวท้าวศรีสุราช ขออนุญาตเจ้าเมืองไปอยู่บริเวณป่าไผ่ริมหนองหารซึ่งอยู่นอกเมืองเพื่อสะดวกแก่การเลี้ยงช้าง แต่โชคร้ายเพราะฝนแล้งไม่ได้ทำนาถึง 3 ปีติดต่อกัน ไม่มีข้าวกิน ต้องหาขุดเผือกขุดมันกินแทนข้าวพอประทังชีวิตไปวัน ๆ แต่ละคนผอมโซเพราะอดอยากหิวโหย จึงพากันอพยพแยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมืองฯ และอำเภอโคกศรีสุพรรณ ส่วนคณะผู้อพยพซึ่งนำโดยญาครูคำและท้าวศรีสุราชไปสิ้นสุดการอพยพที่ริมแม่น้ำก่ำ ตั้งบ้านเรือนและตั้งวัดอยู่ด้วยกันที่นั้น โดยตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านด่านม่วงคำและวัดบ้านด่านม่วงคำ ตำบลด่านม่วงคำ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ต่อมาท้าวศรีสุราชได้รับแต่งตั้งเป็นหลวงบริบาล(กำนัน) มีหน้าที่ตั้งด่านเก็บส่วยจากพ่อค้าที่ล่องเรือกลไฟขายสินค้าระหว่างเมืองสกลนครกับเมืองนครพนมเพื่อส่งเจ้าเมืองสกลนคร เสียงแตรรถโดยสารสองแถวเข้าหมู่บ้านแล้ว ข้าพเจ้ารีบไปขึ้นรถโดยมีพ่อกับแม่และน้อง ๆ ยืนรอส่งอยู่ที่หน้าบ้าน
ชีวิตใหม่
เด็กท้ายรถยกจักรยานคนจน กระเป๋าเสื้อผ้า กล่องมุ้งหมอนผ้าห่มและเสื่อปูนอนของข้าพเจ้าขึ้นไว้บนหลังคารถโดยสาร ข้าพเจ้ายกมือไหว้ทุกคนขึ้นยืนเกาะท้ายรถโบกมืออำลาญาติพี่น้องตามรายทาง รถจอดทีก็ลงไปช่วยเด็กท้ายรถยกสิ่งของผู้โดยสารที สนุกไปตลอดทาง พอผู้โดยสารล้นไม่มีที่นั่ง จึงต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถเหมือนคนหนุ่มอื่น ๆ ที่โดยสารมาด้วยกัน พอจะเข้าตัวเมืองคนขับหยุดรถให้ผู้โดยสารบนหลังคาลงมาห้อยโหนท้ายรถเพราะกลัวถูกตำรวจจับ ข้าพเจ้าหิ้วกระเป๋าและลังกระดาษใส่หมอนและผ้าห่มไปขึ้นรถโดยสารสายสกลนคร-อุดรธานี โดยตีตั๋วลงที่อำเภอสว่างแดนดิน นั่งสามล้อไปต่อรถสองแถวไปบ้านเจริญศิลป์ ฝนตกหนักและโปรยปรายไปตลอดทาง รถโดยสารสองแถววิ่งไปบนถนนลูกรังขรุขระอย่างระมัดระวังและเชื่องช้า อ้อมไปบ้านโคกสีแล้วโค้งกลับคืนไปทางอำเภอสว่างแดนดิน ระหว่างนั่งอยู่บนรถโดยสาร ท่านอาจารย์สุธีร์ เฉยฉิว ครูใหญ่บ้านหนองแสงในขณะนั้นได้ทักถามด้วยความสงสัยพอทราบว่าข้าพเจ้าเป็นครูบรรจุใหม่โรงเรียนบ้านเจริญศิลป์ ก็แสดงความมีน้ำใจว่าถ้ายังไม่มีบ้านพักให้ไปพักอยู่ที่บ้านท่านก่อนก็ได้ ข้าพเจ้าขอบพระคุณท่านที่กรุณา บอกท่านไปว่าจะไปขอพักอาศัยบ้านท่านอาจารย์ลำพูน ซึ่งญาติพี่น้องกัน กว่าจะถึงบ้านเจริญศิลป์ก็เกือบค่ำ รถโดยสารจอดแล้ว ผู้โดยสารต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ข้าพเจ้ายื่นมือรับรถจักรยานที่เด็กท้ายรถยื่นลงมาจากหลังคา ผูกสัมภาระส่วนหนึ่งไว้ท้ายจักรยานสะพายกระเป๋าขี่จักรยานไปตามเส้นทางที่ท่านอาจารย์สุธีร์ เฉยฉิว ชี้แนะ ถึงหน้าบ้านท่านอาจารย์ลำพูนเกือบค่ำแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปแนะนำตัวและแจ้งความประสงค์ขอพักอาศัยชั่วคราวพอหาบ้านเช่าได้ ท่านแนะนำให้รู้จักกับพี่แดงแฟนของท่านซึ่งเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนบ้านเจริญศิลป์เหมือนกัน ทั้งสองท่านบอกว่ายินดีต้อนรับ ทานอาหารก่อนค่ำด้วยกันเพราะยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ข้าพเจ้าปูเสื่อกางมุ้งไหว้พระนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ข้าพเจ้าตื่นนอนประมาณตีสี่ ลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วกลับเข้ามุ้งนั่งนึกตรึกตรองเรื่องที่จะต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนจนเกือบสว่าง
ฆ่าสายลับ
เสียงพี่แดงลุกนึ่งข้าว พี่ลำพูนลุกไปเข้าห้องน้ำ ข้าพเจ้าขี่จักรยานคู่ชีพไปดูโรงเรียนที่จะไปทำงาน แล้วขี่เลยไปไหว้พระที่วัดแล้ววกกลับเข้าหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารที่ร้านค้ากลางหมู่บ้านจะได้ไม่เป็นภาระของเจ้าของบ้านมากนัก ขณะกำลังจ่ายเงินค่าปลาทูก็ได้ยินเสียงปืนดังติด ๆ กันหลายนัด ข้าพเจ้าวิ่งหลบเข้าไปในร้านค้าด้วยความตกใจ โผล่หน้ามองตามเสียงปืนที่ได้ยินก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งถูกชายวัยกลางคนกำลังกดให้นอนราบบนหลังคารถสองแถวหกล้อที่จอดรับผู้โดยสารริมถนนฝั่งตรงข้าม ชายอีกคนหนึ่งเอาเท้าเหยียบที่หน้าอกใช้ปืนพกสั้นจ่อยิงประมาณหกนัดแล้วช่วยกันถีบร่างชายหนุ่มคนนั้นลงมาจากหลังคารถ คนร้ายทั้งสองบรรจุกระสุนปืนใหม่แล้วปีนตามลงมายิงซ้ำไล่ตั้งแต่ศีรษะจนถึงหน้าขาแล้วยิงไล่จากหน้าขาถึงศีรษะ จากนั้นก็ยิงปืนขึ้นฟ้าสามนัดแล้วประกาศว่า เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นสายลับจึงจำเป็นต้องฆ่า หากใครข้องใจให้ไปพบสหายทะเลที่ดงผาลาดได้ทุกเมื่อ จากนั้นก็ขี่จักรยานซ้อนท้ายกันออกไปทางท้ายหมู่บ้าน โดยมีชาวบ้านที่กำลังยืนรอใส่บาตรพระ และชาวบ้านที่ออกมายืนดูจนสุดถนน แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนไปรวมกลุ่มไทยมุงที่กำลังยืนล้อมวงดูชายหนุ่มที่นอนชักกระตุก มีเลือดไหลออกจากปากจมูกและรูกระสุน พยายามเงี่ยหูฟังชาวบ้านเขาซุบซิบกันเบา ๆ จับใจความได้ว่า ชายหนุ่มที่ถูกฆ่าชื่อนายเสริม ลูกชายพ่อใหญ่พา ชาวบ้านทุ่งมน ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทซิงเกอร์ที่อำเภอสว่างแดนดิน ถูกสงสัยว่าเป็นสปายจึงถูกฆ่า ท่านอาจารย์สุธีร์ เฉยฉิว สั่งให้คนไปส่งข่าวพ่อของเขาที่บ้านทุ่งมนซึ่งอยู่ฟากหนองน้ำ ข้าพเจ้าเดินกลับไปที่ร้านค้าจ่ายเงินหยิบห่อปลาทูจากเจ้าของร้าน ปั่นจักรยานกลับด้วยความเศร้าสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครุ่นคิดไปตลอดทางว่า ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ใจร้ายใจดำอำมหิตมาก พวกเขาฆ่ากันเพียงเพราะสงสัยว่าเป็นสายลับ แล้วเราจะวางตัวอย่างไรจึงจะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้
รายงานตัว/เลี้ยงรับ
ขณะล้อมวงทานข้าวมื้อเช้าวันนั้น ข้าพเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ลำพูนกับพี่แดงฟัง ดูสีหน้าท่านทั้งสองก็กังวลใจไม่น้อย ได้แต่เตือนให้ระมัดระวังอย่าทำตัวให้พวกสหายสงสัยว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลเพราะอาจถูกฆ่าตายได้ แปดโมงเช้าแล้วข้าพเจ้าแต่งตัวเดินตามพี่ลำพูนกับพี่แดงไปโรงเรียนซึ่งอยู่ฟากถนนหน้าบ้าน ไปลงเวลาและแนะนำตัวกับเพื่อนครูในโรงเรียน หลังจากนักเรียนเข้าแถวร้องเพลงเคารพธงชาติและไหว้พระสวดมนต์แล้ว พี่ลำพูนพาข้าพเจ้าไปแนะนำตัวต่อคุณครูและนักเรียนที่หน้าเสาธง โดยให้ข้าพเจ้ากล่าวแนะนำตัวเองสั้น ๆ ข้าพเจ้ากล่าวแนะนำตัวว่า ชื่อนายวิทิต ไชยวงศ์คต วุฒิครู พ.ม. วุฒิอื่น ๆ นักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรมสี่ประโยค และปริญญาตรีพุทธศาสตร์บัณฑิต เหตุที่ได้วุฒิอื่น ๆ เพราะบวชเรียนถึงสิบเจ็ดปี เพิ่งลาสึกเมื่อปีที่แล้ว แต่ไปเป็นครูอัตราจ้างสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนในกรุงเทพฯหนึ่งปี ขณะนี้อายุได้ 30 ปีพอดี ยังไม่มีเมีย กำลังหาอยู่แต่ยังไม่เจอ คิดว่าน่าจะเป็นสาว ๆ คนใดคนหนึ่งในหมู่บ้านเจริญศิลป์ของเรานี้แหละ ที่ครูตัดสินใจเลือกมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้เพราะชอบชื่อโรงเรียนและชื่อหมู่บ้าน สุดท้ายขอฝากว่า จะรักนักเรียนทุกคนเท่าเทียมกัน และจะตั้งใจสอน สวัสดีครับ นักเรียนเข้าห้องแล้ว พี่ลำพูนซึ่งเป็นผู้ช่วยครูใหญ่ให้ข้าพเจ้าเข้าสอนวิชาภาษาอังกฤษชั้น ป. 5 ตอนบ่ายท่านอาจารย์สม-อก เดชภูมี ซึ่งเป็นครูใหญ่กลับจากประชุมได้ให้นักเรียนมาเรียกข้าพเจ้าไปคุยด้วยที่ระเบียงหน้าอาคารเรียน ท่านให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมายทั้งต่อการทำงานและการใช้ชีวิตเพื่อให้สามารถเอาตัวรอดในหมู่บ้านที่คนส่วนใหญ่เป็นคอมมิวนิสต์ สุดท้ายท่านเอาโค้กขวดเล็กมาเปิดแล้วรินโค้กใส่แก้วสองใบ ถือไว้ใบหนึ่งส่งให้ข้าพเจ้าใบหนึ่ง สั่งให้ข้าพเจ้ายกแก้วโค้กขึ้นถือไว้ แล้วพูดดัง ๆ ว่า คุณวิทิต นี่ผมเลี้ยงคุณแล้วนะ ห้ามถามกินอีก พูดจบยกแก้วโค้กมาชนแก้วโค้กข้าพเจ้าแล้วพูดดัง ๆ ว่า ดื่มเพื่อความเป็นพี่น้องและเพื่องานของเรา แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว แต่ภาพนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าอย่างไม่มีวันลบเลือน
เพื่อนใหม่
หลังเลิกเรียนข้าพเจ้าปั่นจักรยานสืบเสาะหาบ้านเช่าตามคำแนะนำของเพื่อนครู ออกหาบ้านเช่าประมาณ 5-6 วันก็ได้บ้านเช่าที่ถูกใจ เป็นห้องหลังบ้านพี่กิ่ว เสียค่าเช่าเดือนละ 300 บาท จึงขอบคุณและลาพี่ลำพูนกับพี่แดงขนของย้ายไปอยู่บ้านเช่า มีบ้านเช่าหลายหลังในบริเวณใกล้เคียงกันที่ครูหนุ่มสาวจากโรงเรียนอื่น ๆ มาเช่าอยู่ หลังเลิกเรียนจึงมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน ข้าพเจ้าเป็นหนุ่มอาวุโสกว่าเพื่อนจึงได้รับเกียรติให้เป็นพี่ใหญ่ ที่สนิทกันเป็นพิเศษคือท่านอาจารย์นิคม พิมพา เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านทุ่งมนธาตุวิทยา เป็นคนหนุ่มรูปร่างผอมบางเพราะชอบเล่นของเมาและขี้เกียจออกกำลังกาย แกแอบชอบครูสาวสวยรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกัน แต่ยังไม่กล้าจีบได้แต่ส่งสายตาและส่งยิ้มให้เธอทุกวัน ข้าพเจ้าจึงเสนอแนะว่า น้องชายหน้าตาดีแต่ผอมบางไปหน่อย จึงควรออกกำลังกายทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมบุคลิกให้ดูเด่นเป็นสง่า หนวดเคราต้องโกนทุกวัน ฟันต้องไปแคะหินปูนออก รองเท้าต้องขัดมัน เสื้อผ้าต้องซักรีดให้กลีบคม ผมต้องตัดต้องหวี เจอกันแต่ละทีต้องให้เธอประทับใจ อาจารย์นิคมหัวเราะแต่เห็นดีด้วย จึงฝากเพื่อนครูไปซื้อไม้ตีและลูกแบดมินตันที่ร้านในเมืองสว่างแดนดิน ทำให้ข้าพเจ้ามีเพื่อนเล่นกีฬาทุกวัน หกโมงเช้าถึงเจ็ดโมงเช้าเล่นแบดมินตัน หลังเลิกเรียนเล่นแบดมินตันจนมืดค่ำ บางวันขี่จักรยานประลองความเร็วไปกลับระยะทางประมาณสิบกิโลเมตร ที่ขาดไม่ได้คือต้องรายงานความคืบหน้าการจีบครูสาวให้ข้าพเจ้าทราบทุกวัน สามสี่เดือนต่อมาอาจารย์นิคมรายงานว่าครูสาวให้ไปสู่ขอตามประเพณี ข้าพเจ้าจึงรู้สึกยินดีมากที่เพื่อนใหม่ได้ครองรักครองเรือนอย่างมีความสุข ปัจจุบันท่านอาจารย์นิคม พิมพา มีลูกหญิงชายถึงสามคน มีฐานะมั่นคงที่ควรถือเป็นแบบอย่างที่ดีได้ครอบครัวหนึ่ง
แบกโรงเรียน
ลำพังการสอนประจำชั้นหรือสอนประจำวิชาเป็นเรื่องง่ายและสนุก แต่สมัยนั้นโรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่มีครูคนเดียวบ้างสองคนบ้าง ปีใดที่ครูน้อยลาบวชครูใหญ่ต้องสอนคนเดียว ถ้าครูใหญ่ไปราชการหรือลากิจลาป่วยก็จะมีหนังสือแจ้งขอครูโรงเรียนใหญ่ไปสอนแทน ข้าพเจ้าก็มักจะได้รับคำสั่งให้ไปสอนแทนบ่อย ๆ วันแรกที่ไปสอนแทนรู้สึกตื่นเต้นมาก หลังจากนักเรียนเข้าห้องแล้ว ข้าพเจ้าเข้าสอนชั้น ป. 1 ก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากอีก 3 ชั้นที่เหลือ สนุกเลยคราวนี้ เพราะต้องสอนคนเดียวทั้งโรงเรียน จึงต้องปรับวิธีสอนเป็นแบบสามกลยุทธ์ คือ เลข คัด เลิก ได้แก่ตอนเช้าสอนวิชาเลขคณิตทุกชั้น ตรวจงานบนกระดานดำทีละชั้น ชั้นใดตรวจเสร็จพักเที่ยงกลับบ้านได้ ตอนบ่ายสั่งให้คัดไทยในหนังสือแบบเรียนทุกชั้นอีกเหมือนกัน ใครคัดเสร็จให้ส่งสมุดบนโต๊ะครูหน้าห้องแล้วลงไปเล่นในสนามได้ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเดินเข้าไปประเมินผลงานนักเรียนทุกชั้นด้วย 4 วลีทองคือ ดีมาก ดี พอใช้ และพยายาม พร้อมเซ็นชื่อกำกับเพื่อความเป็นสิริมงคลของทั้งครูและนักเรียน ปกครองชั้นด้วย 3 มาตรการคือ ลูกยอ กอไผ่ และน้ำอ้อย กล่าวคือยกย่องชมเชยนักเรียนที่ตั้งใจเรียน ลงโทษนักเรียนเกเรด้วยการร่ายเวทย์ลงอาคมไม้เรียวเป่าพระคาถาตีก้นหนึ่งทีเพื่อขับไล่ตัวจัญไรออกจากร่างกาย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ใช้ไม้เรียวตีก้นนักเรียนเลยสักครั้ง เพราะเพียงนักเรียนเห็นข้าพเจ้าถือไม้เรียวเดินผ่านหน้าห้องเรียนผีเกเรก็วิ่งออกจากร่างนักเรียนกระเจิดกระเจิงออกทางหน้าต่างหมดแล้ว และให้รางวัลด้วยดินสอหรือสมุดแจกของโรงเรียน สี่โมงเย็นตีระฆังให้นักเรียนขึ้นห้องเพื่อไหว้พระสวดมนต์ปิดประตูหน้าต่าง แล้วเดินทางกลับบ้าน ส่วนข้าพเจ้าตรวจดูความเรียบร้อยและเขียนลงสมุดบันทึกการสอนแทนของโรงเรียน แล้วก็ขี่จักรยานกลับบ้านพัก เพื่อให้ทันได้เล่นแบดมินตันและซื้อหาอาหารก่อนมืดค่ำ การสอนด้วย 3 กลยุทธ์ 4 วลีทอง และปกครองด้วย 3 มาตรการอาจจะไม่ดีนักแต่มันเป็นวิธีที่น่าจะเหมาะสมกับการสอนคนเดียวถึงสี่ชั้นในเวลาเดียวกัน
บ้านผีสิง
ย่างเข้าฤดูหนาว อากาศหนาวมาก ทั้งหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พอค่ำลงก็จุดเทียนบ้าง จุดตะเกียงน้ำมันบ้าง ครูหนุ่มสองคนที่เช่าบ้านหลังใกล้ ๆ กันโดนผีหลอก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนหลายคืน จึงไปเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าของบ้านเช่าฟัง เจ้าของเช่าก็ใจคอไม่ค่อยดีเพราะเกรงจะไม่มีใครมาเช่าบ้านอีกต่อไป อีกอย่างพ่อตาเพิ่งเสียใหม่ ๆ รู้ดีว่าสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ชอบการพนัน เคยมาเคาะประตูว่ากล่าวตักเตือนครูหนุ่ม ๆที่ชวนกันเล่นไพ่ในบ้านเช่าหลังนี้ในยามค่ำคืนหลายครั้ง จึงจัดงานทำบุญบ้านโดยนิมนต์พระมาสวดปริตมงคลผูกสายสิญจน์โยงอ้อมบ้านเพื่อขับไล่และป้องกันภูตผีปิศาจ และเพื่อเสริมขวัญกำลังใจครูที่เช่าบ้านด้วย หลังจากทำบุญบ้านตอนเช้าแล้ว พอตกค่ำเจ้าของบ้านหอบที่นอนหมอนมุ้งและไฟฉายไปนอนเป็นเพื่อนครูด้วย เหตุการณ์ก็ยังเหมือนเดิม กล่าวคือพอตกดึกใกล้จะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูดังปัง ๆ ๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูก็ไม่เห็นมีใคร ฉายไฟดูรอบบ้านจนทั่วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ แถมหลับ ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงเคาะกะละมังในครัว น้องครูทราบว่าข้าพเจ้าเคยบวชเรียนหลายปีน่าจะมีคาถาอาคมจึงมาปรึกษาและขอร้องให้ข้าพเจ้าไปนอนเป็นเพื่อนสักหนึ่งคืนเพื่อปราบผี ข้าพเจ้าปฏิเสธว่าไม่เคยเรียนคาถาอาคมพวกเขาก็ไม่เชื่อ หาว่าข้าพเจ้าอมภูมิ ข้าพเจ้าอดหัวเราะไม่ได้ ความจริงเรื่องกลัวผีข้าพเจ้าไม่เคยเป็นสองรองใครเหมือนกัน เห็นผีบ้าถือมีดทีไรวิ่งนำหน้าหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งทุกที แต่เอาเถอะไหน ๆ ก็ไหน ๆ ลองไปพิสูจน์ดูให้รู้แน่ชัดว่าผีจริงหรือเปล่า จึงรับจะไปปราบผีให้ แต่เลือกไปคืนขึ้น 15 ค่ำเพราะเดือนหงาย จะได้เห็นผีชัด ๆ กลับจากโรงเรียนข้าพเจ้าเดินไปที่บ้านเช่าหลังนั้น น้องครูทั้งสองยังไม่กลับจากโรงเรียน ข้าพเจ้าจึงเดินดูรอบ ๆ บ้าน มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว สูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร ด้านหน้ามีระเบียงและประตูไม้เปิดอยู่ ใช้เป็นทางเข้าห้องนอน ด้านหลังมีประตูไม้บานเดียว ไม่มีกุญแจเพราะนักเลงกระจอกถูกสหายจับไปยิงทิ้งหมดแล้ว เปิดดูด้านในใช้เป็นครัวมีถ้วยชามวางกองอยู่ ใกล้กันมีมุ้งกางถาวรสองหลัง ริมถนนหน้าบ้านและหลังบ้านมีต้นนุ่นกำลังออกดอกสะพรั่ง หลังจากสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้วรีบกลับบ้านพัก เตรียมตัวไปเล่นออกกำลังกาย หลังจากอาบน้ำทานข้าวเรียบร้อยแล้ว พอค่ำลงก็หอบที่นอนหมอนมุ้งถือไฟฉายกระบอกยาวที่เปลี่ยนถ่าน 3 ก้อนใหม่ ๆ ไปที่บ้านเช่า เห็นน้องครูทั้งสองกำลังทานข้าวพอดี ดูเหมือนทั้งสองจะดีใจมากที่เห็นข้าพเจ้าจะมานอนเป็นเพื่อน หลังจากน้องครูทานข้าวแปรงฟันเสร็จต่างก็เอาเสื่อมาปูกางมุ้งดับตะเกียงนอนคุยกัน ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะจับผีที่เคาะกะละมังจึงปูเสื่อนอนในห้องด้านที่มีฝาติดกับครัว ข้าพเจ้าหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังปัง ๆ ๆ ข้าพเจ้าค่อย ๆ ลุกขึ้น ไม่กล้าปลุกน้องครูด้วยเกรงว่าผีที่เคาะประตูจะได้ยิน จึงถือไฟฉายเดินย่องไปที่ประตู หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ตั้งสติเตรียมเปิดประตูและส่องไฟฉายทันทีที่มีเสียงเคาะประตูอีก สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูปัง ๆ ๆ ตรงหน้าผากพอดี ข้าพเจ้าถีบประตูโครม ประตูเปิดพร้อมกับส่องไฟฉายสว่างจ้า ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงถามจากด้านหลังว่าเห็นผีไหมครับพี่ ข้าพเจ้าหันมาส่องไฟดูพบน้องครูทั้งสองยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตอบไปว่า ปัดโธ่ ตามมาก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมดนึกว่าผีหลอกมาด้านหลังซะอีก ..เราทั้งสามหัวเราะขึ้นพร้อมกัน..ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า ผีสามสี่ตัวของน้องมันบินไปทางต้นงิ้วโน้น สมัยเด็ก ๆ พี่เคยจับไปให้พ่อถลกหนังแกงอ่อมใส่ยอดมะระอร่อยมาก เพราะมันคือค้างคาวผีไงเล่า หลังจากเดินฉายไฟดูรอบ ๆ บ้านแล้วก็พากันเดินกลับเข้ามุ้งนอนต่อ ขณะกำลังเคลิ้มหลับก็ต้องสะดุ้งดื่นเพราะได้ยินเสียงเคาะกะละมังและเสียงเหมือนคนกำลังล้างถ้วยล้างจาน ข้าพเจ้าคว้าไฟฉายค่อย ๆ แง้มผ้าห่มลุกขึ้นย่องไปที่ครัวพร้อมส่องไฟฉายไปยังต้นเสียง แสงไฟกระทบกับดวงตาโตวาววับขนาดใหญ่คู่หนึ่งพร้อมกับร่างที่วิ่งสวนทางกับข้าพเจ้าที่ยืนถือไฟฉายส่องอยู่ข้างประตูครัวแล้วกระโดดลงจากบ้านเสียงดังตุ๊บ ข้าพเจ้าส่องไฟตามเห็นหลังไว ๆ อดหัวเราะไม่ได้…นึกว่าผีที่ไหน ที่แท้เป็นยายด่างหน้าแหลมฟันขาวข้างบ้านนั่นเอง ผ้าก็ไม่นุ่งยังบังอาจขึ้นมาขโมยเศษอาหารบนบ้านแถมยังใช้หางเคาะกะละมังหลอกเจ้าของบ้านอีก สุดยอดไปเลยนะยาย เสียงน้องครูดังมาจากในมุ้งว่า พูดกับใครหรือพี่ ข้าพเจ้าตอบว่า ผีกระโดดลงจากบ้านไปแล้ว ทีหน้าทีหลังถ้าไม่อยากให้ผีรบกวนอีก กินข้าวเสร็จให้ล้างถ้วยล้างจานแล้วเก็บเข้าตู้ด้วย
สหาย
บ้านพักครูหลังเก่าว่างไม่มีคุณครูท่านใดกล้าเข้าไปอยู่ เพราะเคยมีลูกชายครูใหญ่คนก่อนผูกคอตาย ท่านอาจารย์สม-อกครูใหญ่ได้ให้นักการภารโรงไปซ่อมประตูหน้าต่างพอให้ปิดเปิดได้ และแนะนำให้ข้าพเจ้าย้ายเข้าไปอยู่ ข้าพเจ้าได้ไปสำรวจดูบ้านพักครูหลังนี้พบว่าสร้างคร่อมจอมปลวกขนาดใหญ่ แม้จะขุดออกจนราบแล้วแต่ยังมีร่องรอยปรากฏให้เห็น มีจอมปลวกขนาดเล็กขึ้นที่ใต้บันไดและบริเวณใต้ห้องนอน ข้าพเจ้าเห็นว่าคงพออยู่ได้จึงตกลงหอบเสื่อผืนหมอนไปย้ายจากบ้านเช่าเข้าไปอยู่โดยไม่ชักช้า ไฟฟ้ามีแล้วแต่ต้องใช้น้ำบาดาลอุปโภคบริโภค หลังเลิกเรียน ข้าพเจ้าขี่จักรยาน วิ่ง เล่นแบดมินตัน ไปซื้ออาหาร รอชาวบ้านโยกน้ำจากบ่อบาดาลข้างสนามโรงเรียนไปใช้จนมืดค่ำจึงโยกน้ำอาบและหิ้วคุถังน้ำไปใช้หุงต้มดื่มกินที่บ้านพักครู ขณะกำลังเปิดไฟหลอดตูมกานั่งทานข้าวอยู่คนเดียวก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา พอหันกลับไปมองก็พบชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่เดินขึ้นบันไดมา อีกสองคนสะพายปืนยาวรออยู่ด้านล่าง ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมากแต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือ เชิญให้เขามานั่งทานข้าวด้วยกัน เขาบอกว่าเขาทานอิ่มมาแล้ว เขานั่งลงข้าง ๆ ข้าพเจ้า เอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า ทราบว่าครูมาอยู่ใหม่จึงมาเยี่ยม เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณ และพยายามตอบคำถามอย่างระมัดระวัง เมื่อคุยกันสักพักก็เกิดความไว้วางใจ จึงต่างก็เล่าประวัติของตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหนซึ่งเมื่อไล่เลียงอายุแล้วเขาเกิดก่อน จึงเรียกเขาว่าพี่ เมื่อพวกเขากลับไปแล้วข้าพเจ้ารีบปิดประตูลงกลอน กางมุ้ง ไหว้พระสวดมนต์และปิดไฟนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ต่อมาไม่นานก็มีกองกำลังตำรวจทหารเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการณ์ที่สนามหญ้าบริเวณที่ตั้งโรงพยาบาลเจริญศิลป์ในปัจจุบัน ทหารระดมยิงปืนใหญ่ข้ามหลังคาโรงเรียนไปยังจุดหมายที่วังกอไผ่กับดงผาลาดเกือบทั้งวัน ทหารตำรวจโดยการนำของกำนันบุญหลาย สอดส่อง นำกำลังส่วนหนึ่งบุกเข้าโจมตีกองกำลังสหายที่วังกอไผ่และดงผาลาดจนแตก สหายบาดเจ็บล้มตายแตกสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง เช้าวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งทานข้าวที่บ้านท่านอาจารย์ชัยรบ ศรีทิน ที่บ้านพักครูหลังใหม่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งสะพายย่ามเดินขึ้นมาบนบ้าน ท่านอาจารย์ชัยรบแอบหนีลงทางประตูหลังบ้านเมื่อไหร่ไม่รู้ ข้าพเจ้าถามว่าต้องการพบใครหรือครับ เขาบอกว่าอยากพบสหายสกลซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ขณะที่นั่งทานข้าวด้วยกันเขาเอ่ยขึ้นว่า ขณะนี้ประเทศของเราปกครองในระบอบเผด็จการทหารหรือพวกนายทุนขุนศึกศักดินา พวกเขามีความเชื่อว่า เมื่อปืนพูดความจริงก็เงียบ จึงใช้ปืนข่มขู่คุกคามเข่นฆ่าประชาชนเพื่อให้ยอมรับอำนาจของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้อำนาจมาก็โกงกินบ้านเมืองอย่างสะดวกสบายไร้คนต่อต้าน คณะปฏิวัติรัฐประหารแต่ละยุคสมัยร่ำรวยอย่างล้นเหลือทุกคน แต่ประชาชนเรายังลำบากยากจนข้นแค้นเหมือนเดิม พวกเขาหารู้ไหมว่า แม้เสียงปืนจะดังกว่าคำพูดและความจริง แต่เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ถ้าวันหนึ่งประชาชนส่วนใหญ่รู้ความจริงและทนไม่ไหวก็จะพากันลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจของพวกเขาคืนมาโดยไม่มีใครกลัวเสียงปืนและลูกปืนอีกต่อไป จะมีวันนั้นได้พวกเราต้องช่วยกัน ครูว่าจริงไหมครับ พูดจบเขาก็ล้วงใบปลิวจากในย่ามออกมายื่นให้ข้าพเจ้าสองแผ่นแล้วยกมือไหว้สะพายย่ามเดินลงจากบ้านพักครูไปทางด้านหลังโรงเรียน สหายจากไปแล้วเห็นท่านอาจารย์ชัยรบ(สหายสกล)กลับขึ้นมาบนบ้าน ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ดูท่านจะตกใจมากบอกว่าถ้าเห็นสหายคนนั้นมาอีกให้บอกว่าผมไม่อยู่นะครับ ข้าพเจ้ารับคำ ตกเย็นท่านอาจารย์ชัยรบไปขอนอนแทนที่ข้าพเจ้าหนึ่งคืน ข้าพเจ้าเลี่ยงไปกางมุ้งนอนอีกห้องหนึ่ง ตกดึกมีชายสามคนเดินถือปืนยาวขึ้นมาบนบ้านพัก ส่องไฟฉายถามหาอาจารย์ชัยรบ ข้าพเจ้าตอบไปว่าท่านอาจารย์ชัยรบนอนแทนที่ข้าพเจ้าอยู่ห้องนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นจึงทราบจากท่านอาจารย์ชัยรบว่าหลังจากกางมุ้งนอนได้สักพักก็นอนไม่หลับจึงหนีไปก่อนที่พวกนั้นจะมาถึงอย่างหวุดหวิด เช้าวันรุ่งขึ้นท่านอาจารย์สมอก เดชภูมี เรียกท่านอาจารย์ชัยรบเข้าไปรับทราบคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครให้ย้ายด่วนนายชัยรบ ศรีทิน ไปโรงเรียนบ้านต้ายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงฐานเป็นสหาย ข้าพเจ้าไปช่วยขนของ จับเป็ด และไก่งวงขึ้นรถช่วยท่านเช้าวันนั้นเลย เครื่องบินทหารยังคงบินวนเวียนประกาศให้พี่น้องประชาชนกลับตัวกลับใจและไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา
ชีวิตคนเป็นครูลำบากมากจริงๆ
Very nice design and style and fantastic written content, practically nothing else we want :D.
I can’t determine how do I subscribe for your blog Ogrodzenia
Thanks for the remarkable publishing! I seriously appreciated analyzing it all, you are an incredible journalist.I am going to make sure save your items your internet site and often will usually come back later in life. Permit me to motivate you’ll persist any superb content, contain a decent break saturday and sunday!
ขอบคุณพ่อครู ที่บอกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง เหมือนกับชีวิตของผม ทั้งผู้ก่อการร้าย ผีปอบ และไก่ชน อ่านแล้วเหมือนกับย้อนชีวิตตนเอง ผมอยู่โรงเรียนม่วงคำราษฏร์สามัคคี อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ บ้านอยู่อำเภอคำม่วง ติดกับเทือกเขาภูพาน พื้นที่สีแดง จนเกิดเรื่องสั้นที่คุณวิสา คัญทัพเขียนคือเรื่อง คืนก่อนการก่อเกิด ครับพ่อครู มีความเ
ป็นครูทั้งชีวิต จิตวิญญาณ สมควรได้รับการยกย่อง เชมเชย เป็นแบบอย่างที่ดีของครูทั้งแผ่นดินไทย ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ จงโปรดอภิบาล ประทานพร ให้พ่อครู วิทิต ไชยวงคต จงมีสุขภาพที่ดี อยู่เป็นร่มโพธ์ิ ร่มไทร ของลูกหลาน ญาติมิตรและครูทั้งแผ่นดินด้วยครับ
คุณเฉลิม รังคะราช ครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมครับ วิถีชีวิตครูอีสานบ้านนอกอย่างพวกเราก็คล้าย ๆ กันทั้งนั้น แต่พ่อครูก็ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนอีสาน และได้กลับมาอยู่บนแผ่นดินอีสานในบั้นปลายของชีวิต หลังออกจากบ้านเกิดได้ระเหเร่ร่อนไปตามความฝันของตัวเองนานเกือบ 30 ปี แม้จะไม่ร่ำรวยเหมือนอยู่ถิ่นอื่นแต่ได้กินอิ่มนุ่งอุ่นและใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจไมตรีซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับพ่อครู ขอบคุณที่อวยพรให้ ขอให้พรนั้นจงย้อนคืนสู่คุณเฉลิม รังคะราช พร้อมครอบครัวเป็นร้อยเท่า เทอญ