นึกว่าตายแน่
หลังเกษียณอายุราชการแล้ว เงินบำนาญเหลือน้อยแต่ค่าครองชีพสูง จึงต้องใช้เงินอย่างประหยัด ตัดรายจ่ายให้น้อยลง บ้านที่อยู่ก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและที่สำคัญคือปลวกขึ้นกินฝาและไม้กระทงเพดานบ้านแล้ว ข้าพเจ้าได้เงินลาออกจาก กบข.จำนวนหนึ่งบวกกับเงินลาออกจาก กบข.ของแม่บ้านอีกจำนวนหนึ่ง รวมกันได้สี่แสนกว่าบาท ข้าพเจ้าวางแผนใช้เงินจำนวนนี้ให้ได้สองอย่างในเวลาเดียวกัน คือเปลี่ยนหลังคาบ้านและหลังคาระเบียงบ้านใหม่จากโครงหลังคาไม้มุงด้วยสังกะสีเป็นโครงหลังคาเหล็กยกดั้งสูงมุงด้วยกระเบื้องซีแพ็ค ตัวบ้านยังคงเดิมแต่ทาสีใหม่ ใช้เวลาเพียงสิบห้าวันก็เสร็จ ส่วนโครงหลังคาบ้านและโครงหลังคาระเบียงบ้านพร้อมด้วยสังกะสีก็นำไปดัดแปลงเป็นหลังคาคาร์แคร์ หวังว่าจะให้ลูกชายคนเล็กที่ยังสอบบรรจุครูไม่ได้รับจ้างล้างรถรอสอบไปก่อน
เนื่องจากบ้านทาสีใหม่ กลิ่นสีและน้ำมันสนยังลอยตลบอบอวนทั่วทั้งบ้าน ข้าพเจ้าเป็นคนแพ้กลิ่น หลายครั้งที่หัวใจของข้าพเจ้าเต้นผิดจังหวะเพราะกลิ่น เช่นกลิ่นไฟไหม้หม้อ กลิ่นน้ำหอมพลูคราว กลิ่นควันไฟเป็นต้น แพ้กลิ่นแต่ละครั้งลูกเมียต้องนำส่งโรงพยาบาลเจริญศิลป์ทุกครั้ง และต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 คืนทุกครั้ง แพ้กลิ่นน้ำมันสนครั้งนี้หัวใจของข้าพเจ้าเต้นเร็วรัวยังกะตีกลอง เหงื่อกาฬไหลจนเสื้อเปียกชุ่ม ข้าพรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากจนแทบทนไม่ไหว รีบกินยาหัวใจเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดแต่อาการไม่ดีขึ้น แม่บ้านจัดที่ให้นอนใต้พัดลม ข้าพเจ้านอนเอามืกุมหน้าอกด้านซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นรัวด้วยความรู้สึกที่ทรมาณมาก คิดว่าคงต้องตายในไม่ช้าเพราะกว่าจะถึงมือหมอหัวใจซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดขอนแก่น คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน ขณะที่นอนรอความตายนั้นข้าพเจ้านึกถึงทางไปนิพพานด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งโล่งใจ รู้สึกอยากน้ำกระทกรกขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงให้ลูกชายไปซื้อที่ร้านโลตัสใกล้บ้าน แต่กลับได้น้ำทับทิมมาสองขวด ข้าพเจ้ารีบเปิดเทใส่แก้วยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย หัวใจของข้าพเจ้ากลับมาเต้นเป็นปกติในทันทีแต่อาการเจ็บปวดยังคงมีอยู่บ้างเล็กน้อย
วันต่อมาหัวใจของข้าพเจ้าเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อาการหนักมากแม้จะกินยาแก้โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่คุณหมอจัดให้แล้วถึง 2 เม็ดและดื่มน้ำทับทิมจนหมดขวดนอนคลุมโปงสูดหายใจลึก ๆ แล้วกลั้นไว้อย่างที่เคยทำแล้วได้ผล แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ผลเลย หัวใจยังคงเต้นเร็วรัวยังกะตีกลองและรู้สึกแน่นหน้าอกเหงื่อกาฬไหลโชกจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม ข้าพเจ้าตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงให้ลูกเมียนำส่งโรงพยาบาลเจริญศิลป์ก่อนจะขาดใจตาย เมื่อถึงโรงพยาบาลลูกชายคนโตเอาบัตรโรงพยาบาลของข้าพเจ้าไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ส่วนลูกชายคนเล็กกับแม่บ้านช่วยกันประครองข้าพเจ้าเข้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ข้าพเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงที่ว่างอยู่ด้วยความรู้สึกที่ทรมาณ พยาบาลเวรประจำห้องสี่นางล้อมเตียงถามไถ่อาการและแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเครื่องมือเกี่ยวกับโรคหัวใจมาติดที่บริเวณหน้าอกข้าพเจ้าสามจุด เอาเข็มฉีดยามาแทงเข้าเส้นเลือดที่หลังมือด้านซ้ายแล้วคาไว้ และเอาสายออกซิเจนมาแหย่รูจมูกทั้งสองข้าง ข้าพเจ้านอนฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นและดูภาพตัวเลขการเต้นของหัวใจจากจอทีวี.เครื่องมือหมอ ไม่นานคุณหมอเวรประจำวันก็มาถึง ตรวจดูเอกสารประจำตัวคนไข้และถามอาการของข้าพเจ้าพร้อมสั่งให้พยาบาลฉีดยาเข้าทางเข็มที่หลังมือด้านซ้าย รอดูอาการสักครู่ ได้ยินพยาบาลคุยกันว่าหัวใจคุณตาเต้นเร็วยังไม่ลดเลย สักครู่หนึ่งพยาบาลนำยาสีขาวครึ่งเม็ดและน้ำสีครามหนึ่งจอกยามาให้ข้าพเจ้ากินดื่ม พยาบาลคนหนึ่งบอกว่าให้พ่อครูตั้งใจและอย่าตกใจเพราะอีกไม่นานจะมีอาการเหมือนคนตกจากที่สูง หัวใจข้าพเจ้าเต้นผิดจังหวะนานถึงสามชั่วโมงจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ คุณหมอสั่งให้เจ้าหน้าที่เข็นข้าพเจ้าไปไว้ที่ห้องผู้ป่วยรวม ข้าพเจ้าต้องนอนพักค้างคืนเพื่อดูอาการ มันเป็นคืนที่สุดจะทรมาณเพราะมีสายระโยงระยางพันรอบกายเพิ่มขึ้นอีกสองสายคือสายยาและสายน้ำเกลือ รวมทั้งหมดเป็นห้าสาย ขยับกายสุดลำบาก นอนปัสสาวะบ่อยเกือบทุกชั่วโมง แต่โชคดีที่มีลูกชายคนเล็กนอนเฝ้าไข้อยู่ใต้เตียงคอยช่วยเหลือ ส่วนแม่บ้านกับลูกชายคนโตกลับไปนอนที่บ้านเพื่อเตรียมไปทำงานและเตรียมพานักเรียนไปแข่งขันหนังสั้นที่กรุงเทพฯ
ข้าพเจ้าลืมตาตื่นขึ้นตอนดึก พบว่าเจ้าน้องชายที่นอนหลับไหลไม่ได้สติมาหลายวันได้แปลงร่างเป็นเจ้าโด่ไม่รู้ล้มจนต้องชันเข่าขึ้นมาเพื่อบังอาย ไม่รู้ว่าคุณหมอฉีดยาและให้ทานยาอะไรบ้างถึงได้คึกคักขนาดนี้ ต้องภาวณามรณานุสสะติ(นึกถึงความตาย)อยู่ตั้งนานจึงสามารถสยบเจ้าน้องชายให้นอนราบลงได้
เก้าโมงเช้าคุณหมอมาตรวจอาการไข้จะให้นอนดูอาการต่ออีกหนึ่งคืนเพราะมันเป็นโรคที่อันตรายและน่าเป็นห่วงมาก ๆ ข้าพเจ้าขอร้องว่าขอออกวันนี้เลยได้ไหม จะขอรับผิดชอบตัวเองทุกกรณีย์ คุณหมออึ้งไปสักครู่แต่แล้วก็ให้พยาบาลนำเอกสารมาให้ข้าพเจ้าและลูกชายลงลายมื่อไว้เป็นหลักฐาน และทันทีที่พยาบาลช่วยปลดและถอดอุปกรณ์การแพทย์ออกหมด ข้าพเจ้ารีบลงจากเตียงคนไข้ยืนยืดเส้นยืดสายร่ายรำมวยจีนผสมมวยไทย ชกลม ฟันศอก แทงเข่า ด้วยความดีใจ พยาบาล คนไข้และคนเฝ้าไข้หัวเราะกันครืน แม่บ้านคนหนึ่งพูดดัง ๆ ว่า ตาคงดีใจมากที่จะได้กลับบ้าน ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า สุดยอดไปเลยครับคุณหมอ เสียงหัวเราะครืนดังขึ้นอีกครั้ง
ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องโดยมีลูกชายคนเล็กหอบหิ้วสัมภาระเดินตามหลังไปขึ้นรถเดินทางกลับ พอถึงบ้านเจอเซียนไก่สี่ห้าคนมาดักรอที่ใต้ต้นมะขามหน้าบ้านเพื่อถามไถ่อาการป่วย บางคนพอทราบว่าข้าพเจ้าขายไก่ชนที่ขังสุ่มหมดแล้วก็ขอสุ่มไก่และสังเวียนไก่ ข้าพเจ้าตอบว่า อดใจรอสักนิด ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำใจและชั่งใจ เนื่องจากยังมีไก่หนุ่มหลายตัวที่ยังขายไม่ได้ ขายไก่ได้หมดเมื่อไรจึงจะขายสุ่มไก่แถมอุปกรณ์ไก่ชนที่มีอยู่ทั้งหมด
ผีกองก้นอธิบายอย่างน่าเวียนหัวว่า…สรรพสิ่งเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยงเพราะเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ไม่คงอยู่ในสภาพเดิม เป็นทุกขัง คือเป็นทุกข์ เพราะเสื่อมไป สิ้นไป ผุพังไปตามกาลเวลาเร็วบ้างช้าบ้าง และเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่เรามองเห็นเป็นรูปร่างเป็นตัวตนนั้นเป็นเพียงสันตติคือการสืบต่อระหว่างร่างเก่ากับร่างใหม่ เช่นตัวละครที่หัวเราะร้องไห้ในภาพยนตร์ที่เราเห็นบนจอเป็นเพียงภาพที่ฉายต่อ ๆ กันด้วยความเร็ว 24 ภาพต่อนาทีเท่านั้นเอง ถ้าเราเอาแผ่นฟิล์มมาดูจะเห็นของจริงที่แท้จริงว่า มันเป็นเพียงรูปภาพเรียงต่อกันเท่านั้นเอง ดังนั้นผีกองก้นที่เห็นอยู่ขณะนี้ไม่ใช่ผีกองก้นตัวเดิมที่เราเห็นเมื่อตะกี้นี้ แต่ก็ไม่ใช่ผีกองก้นตัวใหม่ มันเป็นเพียงรูปร่างการสืบต่อระหว่างผีกองก้นกับผีกองก้นเท่านั้นเอง
รีสอร์ต
เมื่อลงทุนลงแรงสร้างอาคารรับจ้างล้างรถเกือบจะเสร็จแล้ว ลูกชายคนโตก็เสนอไอเดียใหม่สุดหรูว่าจะกู้เงินสร้างรีสอร์ตในที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งมีเนื้อที่รวม 7 ไร่ ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชุมชนกับศูนย์ราชการประจำอำเภอ ข้าพเจ้ามีเวลาว่างทั้งวัน จึงออกหาข้อมูลจากเจ้าของรีสอร์ตและผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนในพื้นที่รวมทั้งไปใช้บริการเช่านอนในรีสอร์ตและถาม Google เพื่อประกอบการตัดสินใจ ได้ความรู้ว่า การจะลงทุนทำธุรกิจบริการต้องคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้สถานที่ก่อสร้างเหมาะสมเพียงใด
- มีเงินลงทุนเท่าไร เพียงพอหรือไม่
- สถานที่ก่อสร้างเหมาะสมเพียงใด
- คู่แข่งขันเล็กใหญ่ในพื้นมีมากน้อยเพียงใด
- ลูกค้ากลุ่มไหนมากน้อยเพียงใดที่จะมาใช้บริการของเรา
- เงินเดือน/ค่าจ้างพนักงาน/ค่าขออนุญาต/ค่าภาษี
- จะได้คืนทุนเมื่อใด
- ความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการ
- อื่น ๆ
ส่วนลูกชายไปทำเรื่องกู้ยืมเงินสหกรณ์มาลงทุน ไปหาแบบแปลนบ้านรูปแบบการจัดสวนหย่อมและการจัดรูปแบบการสถานที่ แต่ละวันลูกชายคนโตจะหาเรื่องการทำรีสอร์ตมาคุยให้ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ ข้าพเจ้ากับแม่บ้านรู้สึกดีใจที่เขามีความคิดที่จะลงทุนทำธุรกิจ ถึงแม้จะเสี่ยงกับการขาดทุน แต่ก็ยังมีบ้านหลังเล็ก ๆ เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ เพราะถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขาใช้เงินเดือนเที่ยวเตร่ไปจนเกษียณอายุราชการโดยไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียวเหมือนข้าราชการบางท่านที่พอเกษียณอายุราชการแล้วต้องออกจากบ้านพักไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง เรามีความเห็นตรงกันว่าจะไม่ขัดใจลูกในเรื่องนี้ แต่ยังมีข้อมูลเรื่องกลิ่นที่ยังสรุปไม่ได้ เพราะตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ข้าพเจ้าไปกำกับดูแลการสร้างอาคารไม่เคยได้กลิ่นขี้หมูอย่างที่เคยได้ข่าวมา จนกระทั้งคืนวันหนึ่งเวลาประมาณ 2 ทุ่มข้าพเจ้ากับลูกชายคนเล็กไปตรวจสถานที่ก่อสร้างอย่างที่เคยทำเป็นประจำก็ได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงจนต้องรีบเข้าไปหลบอยู่ในรถ เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้พบลูกชายคนโตกับแม่นั่งรอให้ข่าวดีว่ากู้เงินได้แล้ว เจ้าลูกชายคนเล็กรีบรายงานข่าวร้ายให้ฟังอย่างละเอียด ทุกคนผิดหวังและเสียใจ ข้าพเจ้าจึงได้แต่ปลอบใจว่า เราโชคดีมากที่ยังไม่ได้ลงทุน มิฉะนั้นจะต้องขาดทุนยับเยินอย่างแน่นอน ฝากเงินไว้ก่อนเถอะลูก รอให้พวกเขาเลิกเลี้ยงหมูค่อยทำก็ยังไม่สาย
ผีกองกอยกล่าวว่า...รีสอร์ตที่ดี มีคนนิยมมาใช้บริการมาก ทำแล้วได้กำไรจะต้องมีบรรยากาศดี กล่าวคือ ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเสียงดังรบกวน บ้านสวย ห้องสะอาด อากาศดี สถานที่ปลอดโปร่ง ร่มรื่น ลี้ลับ บริการประทับใจ และที่สำคัญค่าเช่าห้องต้องถูกใจผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่
ต้นไม้เจ้าที่
ด้านหลังคาร์แคร์มีต้นรังใหญ่แข็งแกร่งน่าเกรงขามยืนต้นอยู่ข้างจอมปลวกชิดแนวเขตข้าพเจ้าถือคติโบราณว่าไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่ใกล้อาคารเพราะจะมีอันตรายและความยุ่งยากหลายอย่างตามมาในอนาคต เช่นใบแห้ง กิ่งหัก ต้นโค่นทับอาคาร สัตว์ร้ายและโขมยเข้าบ้านได้ง่าย และที่สำคัญค่าจ้างโค่นต้นและตัดขนไปทิ้งก็แพง ข้าพเจ้าเกรงว่ากิ่งของมันที่ยื่นคลุมหลังคาของอาคารจะมีปัญหาในอนาคต จึงไปขออนุญาตเจ้าของที่ข้างเคียงและจ้างคนงานโค่นทิ้งในราคา 500 บาท ช่างหลอขอร้องว่า ตัดเฉพาะกิ่งที่ยื่นคลุมหลังคาได้ไหม เพราะมันเป็นต้นไม้เจ้าที่ งวดที่แล้วผมฝันเห็นผู้หญิงสาวสวยหน้าตาดีหุ่นเซ็กซี่ผมยาวประบ่าแต่งตัวโป้เกือบเปลือยไปบอกเลขเด็ดผมถึงบ้าน แล้วพ่อครูก็แย่งเอาเธอไปจ้อย ผมถูกหวยตั้ง 10,000 บาท ถ้าเพิ่นไปบอกอีกงวดนี้ผมจะทุ่มสุดตัว และถ้าผมถูกหวยมีเงินพอจะขอซื้อที่ดินแปลงต้นรังใหญ่นี่แหละ จะสร้างศาลให้และจะมาสร้างบ้านเลี้ยงไก่ชนอยู่ใกล้กับเจ้าที่เพิ่นอย่างแน่นอน ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจไม่น้อยเพราะในคืนที่ช่างหลอฝัน ข้าพเจ้าก็ฝันเหมือนกัน และตรงกันทุกอย่าง จำได้ว่าคืนนั้นลมแรง อากาศหนาวมาก ข้าพเจ้าฝันว่าได้กอดหญิงสาวลักษณะดังกล่าว คืนต่อมาฝันว่าเธอเข้าไปหาข้าพเจ้าในห้องนอน เธอเปิดมุ้งแทรกตัวเข้าไปนอนกอดข้าพเจ้าถึงในผ้าห่ม เธอพยายามจะจูบ ข้าพเจ้ายกแขนป้องกันไว้แล้วตื่นจากฝัน ข้าพเจ้าบอกช่างหลอว่า เธอน่าจะเป็นรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ เราสร้างศาลให้เธอก็ไม่อยู่เพราะเธอชอบอยู่บนต้นไม้ และเธอจะย้ายไปอยู่บนต้นไม้ใหญ่เรื่อยไป เราควรทำบุญตักบาตรแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เธอได้ไปเกิดใหม่ในภพชาติที่ดีกว่าจึงจะถูกต้อง สำหรับต้นรังใหญ่ที่เราคิดว่าเธอน่าจะอยู่นี้พ่อครูจะให้ตัดเฉพาะกิ่งที่ยื่นมาคลุมหลังคาเท่านั้นก็ได้ เช้าวันต่อมาคนงานก็จัดการให้ตามสั่ง แต่กิ่งที่ตัดโค่นลงมาทับเสารั้วหักไปหนึ่งต้น
ผีกระหังกล่าวว่า…รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่บนต้นไม้จะมีทั้งเพศหญิงเพศชาย ส่วนนางไม้เป็นรุกขเทวดาสาวโสด รูปร่างหน้าตาสวยหุ่นเซ็กซี่แต่งตัวดีอาศัยอยู่บนต้นไม้ ผีสิ่นเหี่ยนเป็นผีสาวสวยหุ่นเซ็กซี่แต่งตัวโป้อาศัยอยู่บนพื้นดิน ทั้งสองผีมักชวนกันไปนอนกับหนุ่มกลัดมันที่ชอบนอนคนเดียว
กรรมใครกรรมมัน
การก่อสร้างคาร์แคร์หยุดชะงักเพราะช่างหลอรับงานที่อื่น ข้าพเจ้าจ่ายค่าแรงครบแล้วแต่ผลงานที่ได้ไม่เป็นดังที่คิด หลังคาต้องได้แก้ได้เสริม ประตูส้วมปิดไม่ได้ พื้นห้องส้วมไม่ขัด ฯลฯ จึงไปบ่นให้ช่างคิดผู้รับเหมาฟัง ช่างคิดเล่าว่าผมก็โดนเหมือนกัน ผมรับเหมาสร้างอาคารเรียนสร้างเสร็จเบิกเงินไม่ได้เพราะงานไม่ผ่าน ต้องได้ทุบได้รื้อเสียทั้งของทั้งเงินทั้งชื่อเสียง ผมจึงเลิกจ้างได้สองปีแล้ว ตอนหลังแกมาของานทำหลายครั้งแต่ผมไม่กล้าจ้าง ข้าพเจ้าจึงไปจ้างช่างโอ๋กับเมียมาทำต่อ ทุกอย่างราบรื่นดีหมด ผลงานออกมาดีแต่มีปัญหาที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างส่งซีแพคหรือคอนกรีตผสมเสร็จไม่ครบคิว ต้องสั่งซื้อเพิ่มถึง 5 คิวจึงเทได้ครบเนื้องาน เนื่องจากต้องขี่รถมอร์เตอร์ไซด์ไปดูแลงานก่อสร้างผ่านถนนหลวงที่กำลังรื้อซ่อมทุกวัน และต้องสูดดมเอาฝุ่นละอองผสมควันรถและกลิ่นยางมะตอยเข้าไปหลายวันทำให้โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะกำเริบ ลูกเมียนำส่งห้องผู้ป่วยฉุกเฉินโรงพยาบาลเจริญศิลป์อีกครั้ง พยาบาลรีบเข้าน้ำเกลือและฉีดยาลดความดันให้ตามหลักสูตรทันที ครั้งนี้หัวเต้นรัวเร็วถึง 190 ครั้งต่อนาที ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจแป้บ ๆ เหมือนเข็มแทง กว่าจะปกติได้ต่อเมื่อคุณหมอมาสั่งให้พยาบาลถอดสายน้ำเกลือออก ท่านบอกว่าการให้น้ำเกลือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ พออาการปกติแล้วข้าพเจ้าขอคุณหมอกลับบ้าน แต่คุณหมอจะให้นอนที่โรงพยาบาลหนึ่งคืนเพื่อดูอาการ ขณะเจรจากันอยู่นั้นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ชาย 2 คนที่ตะเบ็งร้องโอดโอยแข่งกันเข้ามา พยาบาลรีบดึงผ้าม่านกั้นเตียงข้าพเจ้าไว้สามด้านแล้วเข็นเตียงคนไข้ทั้งสองมาชิดขอบเตียงที่ข้าพเจ้านอนอยู่ โดยคนหนึ่งชิดด้านข้าง อีกคนชิดด้านศีรษะ ห่างกันเพียงม่านกั้น คนด้านข้างตะเบ็งอ๊วก คนที่ชิดด้านศีรษะตะเบ็งร้องโอดโอยโหยหวนและกัดฟันกร๊วด ๆ เพื่อสะกดความเจ็บปวด โดยมีเสียงพยาบาลปลอบโยนแทรกขึ้นเป็นระยะ เสียงนางพยาบาลด้านข้างคุยกันว่าโดนอ๊วกของคนไข้ ต้องรีบไปเปลี่ยนชุดใหม่ เมื่อจัดการกับคนไข้ทั้งสองเรียบร้อยแล้วทั้งหมอและพยาบาลช่วยกันเกลี้ยกล่อมคาดคั้นให้ข้าพเจ้านอนดูอาการ 1 คืน ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนอนโรงพยาบาล 1 คืนตามคำขอร้องของคุณหมอ เจ้าหน้าที่เปลเข็นข้าพเจ้าเข้าห้องคนไข้รวม อากาศวันนั้นร้อนอบเอ้ามาก คนไข้ส่วนหนึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าต้องลุกมานั่งรับลมจากพัดลมเพดานส่ายหลับนกอยู่ข้างเตียง ข้าพเจ้าขอพยาบาลกลับไปนอนที่บ้าน พยาบาลไม่ยอมแต่กลับหาห้องพิเศษให้นอน ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการบำนาญจึงได้รับสิทธิพิเศษนี้ รู้สึกเห็นใจคนไข้อื่นที่ต้องทนทรมาณนั่งหลับนกอยู่ข้างเตียงไม่น้อย แต่ไม่รู้จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร เพราะระบบของบ้านเมืองเราและของโลกนี้เป็นอย่างนี้ คนมีเงินจ่ายและคนมีสิทธิย่อมได้รับความสะดวกสบายกว่าคนอื่น ๆ ข้าพเจ้าถูกล่ามด้วยสายโยงพะรุงพะรังให้นอนเฝ้าเครื่องวัดหัวใจทั้งคืน โดยมีแม่บ้านและลูกชายคนเล็กนอนเป็นเพื่อน รุ่งเช้าหมอมาตรวจและสั่งให้กลับบ้านได้
ผีกองก้นกล่าวว่า…สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แม้แต่ฟ้าเองวันหนึ่งก็ต้องดับไป ถ้าวันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ก็จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะจะส่งผลให้วันพรุ่งนี้ของเราดีที่สุดเช่นกัน ถ้าวันนี้เราทำชั่วก็จะกลายเป็นวันวานที่คิดถึงทีไรเป็นต้องสะดุ้งเหมือนถูกเข็มแทงหัวใจทุกทีสำหรับเรา
น๊อคคาชามข้าว
คุณหมอขึ้นป้ายสุขบัญญัติ 10 ประการไว้ที่โรงพยาบาลว่า 1. ดูแลร่างกายและของใช้ให้สะอาด 2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันอย่างถูกวิธี 3. ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย 4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด 5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพติดการพนันและการสำส่อนทางเพศ 6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น 7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี 9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ 10. มีสำนึกต่อส่วนรวมและร่วมสร้างสังคม
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะถ่อสังขารของตัวเองไปได้อีกสักกี่ปีกี่เดือนกี่วัน บางครั้งรู้สึกท้อ ห่อเหี่ยวเมื่อต้องไปงานศพของเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน บางคราวก็มีกำลังใจสู้เพื่ออยู่ต่อไป เมื่อหลายปีก่อนข้าพเจ้าวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าที่ถนนข้างบ้านระยะทาง 40 เมตร วิ่งช้า ๆ กลับไปกลับมา 20 เที่ยวเป็นประจำ ทำให้ร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ได้หยุดพักไปหลายปี พอเริ่มได้สามวันก็เกิดเรื่อง หัวใจเต้นเร็วอีกเเล้ว ข้าพเจ้ารีบกินยาอาบน้ำแต่งตัวเข้าไปนอนในมุ้งรอดูอาการสิบนาที แต่อาการไม่ดีขึ้นหัวใจยังคงเต้นรัวและแรงแทบจะทะลุหน้าอกออกมา ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกมาก แม่บ้านสั่งให้แตงไทยลูกชายคนเล็กนำรถเก๋งออกจากโรงรถ ข้าพเจ้าเดินระทดระทวยไปขึ้นรถ เมื่อถึงโรงพยาบาลเจริญศิลป์ แม่บ้านแยกไปห้องบัตร ส่วนข้าพเจ้ากับลูกชายรีบเดินเข้าห้องฉุกเฉิน ข้าพเจ้าขึ้นไปนอนรอบนเตียงคนไข่ พยาบาลเห็นก็จำได้เพราะมาเป็นครั้งที่หก พวกเธอเข้ามารุมล้อมข้าพเจ้า ยกเครื่องมือแพทย์ออกมาตั้งข้างเตียง คีบตีนมือแขนขาติดอุปกรณ์สี่จุดบนหน้าอกเพื่อวัดการเต้นของหัวใจได้ยินพยาบาลคุยกันว่าหัวใจตาเต้น 190 ครั้งต่อนาทีซึ่งมากกว่าปกติถึง 120 ครั้ง พยาบาลอีกสองนางเอาสายยางมารัดต้นแขนซ้ายทาแอลกอฮอแทงหลังมือให้น้ำเกลือทันที พยาบาลอีกนางเอาเข็มฉีดยาสามทางมาแทงที่ด้านหน้าแขนพับเพื่อรอรับการฉีดยาจากสองพยาบาลที่กำลังผสมยาอยู่ข้างกัน ไม่นานนายแพทย์ก็มาถึงและสั่งฉีดยาทันที พยาบาลดันยาฉีดเข้าพร้อมกันแล้วช่วยกันยกแขนซ้ายข้าพเจ้าให้ขึ้นสูง ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดแน่นที่หัวใจอย่างแรงแล้วคลายเจ็บอย่างฉับพลัน ได้ยินเสียงหัวใจเต้นช้าลงเป็นปกติทันที พยาบาลลดแขนข้าพเจ้าลงไว้แนบลำตัว ข้าพเจ้ารอดตายเป็นครั้งที่หกแล้ว คุณหมอบอกว่า คุณตาเป็นบ่อยมากอยากจะให้คุณตาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลสกลนครเพื่อให้แน่ใจ วันนี้จะให้คุณตานอนที่โรงพยาบาลเจริญศิลป์หนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นรับใบส่งตัวแล้วค่อยไป คุณตาจะสดวกไปเองหรือให้โรงพยาบาลนำส่ง ข้าพเจ้าตอบว่าขอไปเอง คืนนั้นได้นอนห้องพิเศษเปิดแอร์เย็นฉ่ำทำให้นอนได้หลับสนิท คนไข้โรคหัวใจเจออากาศร้อนจะนอนไม่หลับเลย มันทรมาณมาก
ไปนอนโรงพยาลสกลนครได้สองคืนอาการปกติคุณหมอจึงให้กลับ แต่ก่อนกลับหมอใหญ่สั่งยา หมอห้องยาจัดยาให้สองซองสั่งย้ำสามครั้งว่ายาหัวใจให้กินสองเม็ดก่อนอาหาร ส่วนยาคาโซซินรักษาต่อมลูกหมากโตให้กินหนึ่งเม็ดก่อนนอน ขณะนั่งมาในรถข้าพเจ้าวางแผนกับแม่บ้านว่า จะไปกินต้มปลาแซบ ๆ เพราะอยู่โรงพยาบาลได้กินแต่ข้าวต้ม แม่บ้านโทรบอกครอบครัวน้องชายให้ออกมาพบกันที่ร้านวิภาปลาเผาก่อนเข้าตัวเมืองสว่างแดนดิน แม่บ้านสั่งเมนูปลามาเต็มโต๊ะ ส่งยาหัวใจให้ข้าพเจ้ากินสองเม็ดตามหมอสั่ง ข้าพเจ้าตักข้าวเข้าปากคำที่ห้าก็หน้ามืดฟุบคาชามข้าว แม่บ้านเอาผ้าเย็นมาเช็ดตัวให้จึงฟื้น พอฟื้นขึ้นมารู้สึกปวดเยี่ยวจึงให้ลูกชายคนเล็กประครองไปห้องน้ำ ได้ยินเสียงแม่บ้านสั่งให้สาวเสริบห่ออาหารที่วางเต็มโต๊ะกลับไปกินต่อที่บ้านและได้ยินเสียงใครต่อใครขอให้เจ้าของร้านโทร.เรียกรถมูลนิธิปอเต๊กตึ้งมารับส่งโรงพยาบาลสว่างแดนดิน ขณะเดินออกมาจากห้องน้ำก็มีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิปอเต๊กตึ้งสองคนช่วยกันประครองข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอก เจ้าของร้านพร้อมด้วยสาวเสริบสี่ห้านางมายืนเรียงแถวยกมือไหว้และโบกมือให้กำลังใจ ข้าพเจ้าได้แต่ยกมือไหว้ตอบพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความขอบคุณและทราบซึ้งในน้ำใจไมตรีที่มีให้ เมื่อถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่เอาเปลมารับไปนอนบนเตียงคนไข้ หมอนั่งรอดูอาการประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเข้ามาสอบถามอาการ แนะนำไม่ให้กินยาที่โรงพยาบาลสกลนครให้มาและสั่งให้กลับบ้านได้ เมื่อกลับถึงบ้านจึงตรวจสอบยาในซองที่หมอให้มาพบว่า ชื่อยาข้างซองกับชื่อยาในซองไม่ตรงกัน
ผีกองกอยกล่าวว่า….ความผิดพลาดในเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นด้วยสาเหตุ 2 ประการคือ 1. ลายมือหมอในโลกนี้เหมือนกันหมดคืออ่านได้เฉพาะคนเขียน คนจัดยาอาจจะอ่านลายมือหมอไม่ออก จะถามหมอก็ไม่กล้า จึงจัดยาให้อย่างส่งเดช และ 2. คนจัดยาใจลอยคอยแฟนจึงจ่ายยาให้ผิดซอง…..คนไข้จึงต้องวัดดวงเอาเองว่าจะได้ยาข้อ 1 หรือยาข้อ 2 แต่ไม่ว่าจะได้ยาข้อ 1 หรือยาข้อ 2 ก็ล้วนแต่ซวย สมดังสุภาษิตผีกองก้นว่า ขี่เรือรั่ว เมียชั่ว นายชัง ใครประสบเข้าเศร้านักหนา
นัดผ่าตัดหัวใจ
คุณหมอสั่งให้ข้าพเจ้างดทำงานหนักทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้าไม่อาจจะทำตามได้ทั้งหมด บ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าไปถอนหญ้ากับลูกชายคนเล็กที่ด้านหลังคาร์แคร์ เพิ่งถอนได้ประมาณ 10 ต้นก็เกิดอาการคล้ายหัวใจจะเต้นผิดจังหวะ จึงให้ลูกชายพา กลับบ้าน พอถึงทางเข้าบ้านหัวใจก็เต้นเร็วแรงทันที รู้สึกแน่นหน้าอกและเจ็บหัวใจแป้บ ๆ ข้าพเจ้ารีบแปรงฟันอาบน้ำก่อนไปโรงพยาบาลเพราะกลัวคุณหมอจะเหม็น อาบน้ำเสร็จรีบไปโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 7 เมื่อไปถึงโรงพยาบาลข้าพเจ้ารีบเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที พยาบาลเข้ามาสอบถามอาการข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พยาบาลพูดต่อ ๆ กันไปว่า ตาทดสอบหัวใจตนเอง แต่พวกเธอก็น่ารักเพราะไม่ปฏิเสธการรักษา เมื่อคุณหมอมาถึงก็สั่งฉีดยาตัวเดิมและให้พักค้างคืนที่โรงพยาบาล 1 คืน พร้อมสอบถามว่าตาพร้อมที่จะไปรักษาต่อที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ขอนแก่นวันพรุ่งนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า พร้อมครับ คุณหมอถามต่อว่าคุณตาสะดวกที่จะไปด้วยตัวเองหรือจะให้โรงพยาบาลนำส่ง ข้าพเจ้าตอบว่าขอสะดวกที่จะไปเองครับคุณหมอ วันรุ่งขึ้นหลังรับใบส่งตัวจากโรงพยาบาลแล้ว ก็กลับบ้านเตรียมตัวออกเดินทาง เจ้าทีมกับแตงไทยผลัดเปลี่ยนกันเป็นโซเฟอร์ ข้าพเจ้ากับแม่บ้านนอนหลับที่เบาะหลังไปตลอดทาง พักค้างคืนที่โรงแรมใกล้โรงพยาบาลศูนย์หัวใจสิริกิติ์ในตัวเมืองขอนแก่น มากที่สุด ตี 3 ครึ่งไปรอจับบัตรคิว ได้ลำดับที่ 4 เข้ารับการตรวจแอคโค่หัวใจเวลา 10.00 น. ขณะที่รอหมอจริง พยาบาลสาวสวยระดับนางงามตำแหน่งพยาบาลชำนาญการพิเศษที่จังหวัดเพชรบูรณ์ส่งมาเรียนเรื่องนี้ขอศึกษาหัวใจข้าพเจ้าจนกว่าหมอจริงจะมา ข้าพเจ้ารีบอนุญาตทันทีเพราะอยากดูหมอใกล้ชิด ที่ไหนได้เธอสั่งให้ข้าพเจ้านอนตะแคงหันหน้าเข้าฝาแกะกระดุมเสื้อข้าพเจ้าออกเอาเจลมาทารอบหัวนมด้านซ้ายตรงกับหัวใจ จากนั้นเธอก็ใช้เครื่องมือแอ้คโค่ถูรอบหัวนมข้าพเจ้ารอบแล้วรอบเล่าพร้อมกับจดบันทึกการเต้นของหัวใจ ข้าพเจ้ารู้สึกปวดมากจนต้องขออนุญาตเข้าห้องน้ำเพื่อผ่อนคลาย เธอชวนพูดชวนชวนคุยเพื่อเอาใจ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบถามอยู่แล้วก็ถามเรื่อยไปเช่น ทำไมหัวใจตาจึงเต้นผิดจังหวะ ตามีโอกาสหายไหม จำเป็นต้องผ่าตัดช็อดหัวใจหรือไม่ ทำอย่างไรถึงจะมีอายุยืนสักร้อยปี ทำอย่างไรถึงจะกลับมาเป็นคนหนุ่มได้เหมือนเดิม เป็นต้น กว่าคุณหมอจริงจะมาถึงก็ประมาณ 1 ชั่วโมง หมอจริงมาแล้วเป็นหมอสาวอาวุโสกว่าหมอฝึกหัดเมื่อตะกี้ เธอทำแอ็คโค่ไปอธิบายไปจดบันทึกไป บริเวณหน้าอกข้าพเจ้าระบมไปหมด ออกจากห้องแอ้คโค่ก็เข้าไปพบคุณหมอหัวใจที่ห้องถัดไป คุณหมอถามว่าตาเข้าโรงพยาบาลกี่ครั้งแล้ว ข้าพเจ้าตอบว่า 7 ครั้งครับ คุณหมอบอกว่า ตาเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก คงต้องผ่าตัดเพื่อช็อตหัวใจแล้วละครับ ข้าพเจ้าจึงถามว่าผ่าแหวะหน้าอกเลยหรือครับ คุณหมอบอกว่า ผ่าตัดตรงบริเวณขาหนีบกว้างประมาณ 2 ซม. เพื่อสอดสายยางเอาเครื่องมือเข้าไปช็อตหัวใจ ข้าพเจ้าถามว่า โอกาสหายมีซักกี่เปอร์เซ็น คุณหมอตอบว่า ก็ประมาณ 95 เปอร์เซ็น ข้าพเจ้าถามว่า แล้วอีก 5 เปอร์เซ็นที่เหลือละครับ คุณหมอตอบว่า อีก 5 เปอร์เซ็นกันไว้เผื่อหมอพลาด ข้าพเจ้าหัวเราะถามต่อไปว่า ถ้าหมอพลาดตาจะเป็นอย่างไร คุณหมอตอบกลั้วหัวเราะว่า ถ้าหมอพลาด หัวใจของตาก็จะเต้นอ่อน ซึ่งหมอจะต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจให้ หมอนัดให้ตามาพบสองครั้งนะ ครั้งแรกวันที่ 14 ตุลาคม 2559 เพื่อตรวจดูอาการอีกครั้ง และครั้งที่สอง นัดผ่าตัดวันที่ 24 ธันวาคม 2559 แต่ก่อนผ่าตัด 7 วันให้ตางดกินยารักษาโรคหัวใจที่กินอยู่ประจำเพื่อดูอาการ ถ้าหัวใจกำเริบขึ้นมาให้ตาเข้าโรงพยาบาลที่เคยรักษาเบื้องต้นก่อน อาการดีขึ้นแล้วค่อยมา ข้าพเจ้าถามยิ้ม ๆ ว่า หมอนัดนานหลายเดือน ถ้าตาตายก่อนจะทำอย่างไร คุณหมอหัวเราะตอบให้กำลังใจว่า ถ้าตายแล้วก็ไม่ต้องมา แต่ตาคงไม่เป็นอะไรมากหรอก หมอที่เคยรักษาคงเอาอยู่ หลังผ่าตัดตาต้องนอนพักที่โรงพยาบาล 2 คืน วันนี้ให้ตาไปพบเจ้าหน้าที่นัดหมายวันผ่าตัดที่ห้องชั้นบนแล้วนำใบนัดหมายมาส่งให้หมออีกทีแล้วกลับบ้านได้เลย เจ้าหน้าที่นัดหมายให้ข้าพเจ้าเลือกจองห้องพัก ข้าพเจ้าเลือกจองห้องพิเศษซึ่งต้องจ่ายเพิ่มคืนละ 2,000 บาท เจ้าหน้าที่แจ้งว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรขอให้ข้าพเจ้าแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ข้าพเจ้ากลับถึงบ้านแล้วต้องไปซื้อยาเคาน์เตอร์เพนมาทาหน้าอกแก้ฟกช้ำดำเขียวหลายวัน
ผีกองก้นกล่าวว่า…ผีหัวขาดเดิมชื่อผีตาเหล่ แกป่วยเป็นโรคปากเบี้ยวจึงให้เมียพาไปคลีนิกผีตาแดง ผีตาแดงวินิจฉัยว่าต้องตัดคอจึงจะหาย ผีตาเหล่ยินยอมให้ผีตาแดงรักษาด้วยการตัดคอ เลยเป็นกลายผีหัวขาด ไปไหนมาไหนก็ลำบากเพราะต้องหิ้วหัวไปด้วย สาเหตุที่หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเป็นเพราะผายลมไม่ออกก็ได้ เพราะเมื่อผายลมไม่ออก ลมจะตีขึ้นดันหัวใจทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะจากที่เคยเต้นจังหวะรำวงดันผ่าเต้นจังหวะลำซิ่ง ทำให้เหนื่อยหอบแฮก ๆ จนใจจะขาดรอน ๆ เป็นธรรมดา การรักษาอาจเพียงแค่กินยาแอนตาซินก็หาย ดังนั้นก่อนตัดสินใจให้หมอผ่าตัดช็อดหัวใจควรปรึกษาผีหัวขาดก่อน
สำคัญผิด
เมื่อกลับถึงบ้านแล้วข้าพเจ้าตามหาคนที่ผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ หรือซ็อดหัวใจในหมู่บ้านและชุมชน หลายคนตายไปแล้ว นายสวง กะนะหาวงศ์ ชาวบ้านเจริญศิลป์หมู่ที่ 1 เป็นคนสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้รับการขอร้องจากลูกชายของเขาให้ช่วยเขียนประวัติและบทกลอนไว้อาลัยผู้ตายให้ นายสวงเข้ารับการผ่าตัดหัวใจใส่บอลลูนขยายหลอดเลือดที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ขอนแก่นเมื่อปี พ.ศ. 2552 หัวใจกำเริบอีกครั้งเมื่อเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 และเสียชีวิตระหว่างทางขณะนำส่งโรงพยาบาลสกลนคร ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ชีวีไม่สุขสันต์ เพราะต้องอยู่อย่างระมัดระวังตัวเองตลอดเวลาและต้องไปพบหมอหัวใจตามนัดทุกปี จนกระทั่งได้พบเซียนไก่ชื่อสง่า แสงเขียวชาวบ้านเจริญศิลป์ หมู่ที่ 12 แกเล่าให้ฟังว่า เมื่อสองปีก่อนผมรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น แม่บ้านนำส่งโรงพยาบาล คุณหมอตรวจแล้ววินิจฉัยว่าผมเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จึงให้ยาโรคหัวใจมากิน อาการไม่ดีขึ้น ต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง จึงไปรับการตรวจรักษาที่คลีนิกแห่งหนึ่งในตัวเมืองสว่างแดนดิน คุณหมออัลตร้าซาวด์แล้ววินิจฉัยว่าผมเป็นโรคหัวใจโตมากเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับความยาวของปากกาจึงให้ยามากินอีก ผมต้องกินทั้งยาโรงพยาบาลและยาหมอคลีนิกปีกว่า อาการหนักกว่าเดิมหลายเท่า คิดในใจว่าคงต้องตายในไม่ช้า จึงตัดสินใจขอให้แม่บ้านพาไปรับการตรวจรักษาที่คลีนิกหมออุดมในตัวเมืองสว่างแดนดิน ได้คิวที่ 230 ซึ่งเป็นคิวรองบ๊วยในวันนั้น จึงให้แม่บ้านกลับไปก่อนตอนเย็นค่อยกลับมารับ นั่งรอจนถึงสองทุ่มกว่าจึงได้รับการตรวจ ก่อนจะถึงคิวตรวจได้ยื่นโทรศัพท์ให้ยายที่นั่งข้าง ๆ พร้อมขอร้องว่า ถ้าผมเป็นลมหลังทราบผลการตรวจ ยายช่วยโทร.บอกแม่บ้านผมเอารถมารับด้วยนะครับ ซึ่งยายคนนั้นก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ พอได้ยินคุณหมอเรียกชื่อก็รีบเข้าห้องตรวจ คุณหมอสั่งให้นอนหงายบนเตียงและลงมืออัลตร้าซาวด์ เอาไม้เรียวชี้ให้ดูภาพอวัยวะภายในบนจอโทรทัศน์พร้อมอธิบายว่า ตับลุงดีมาก ถุงน้ำดีไม่มีนิ่ว ไตลุงก็ดี ผมนึกหวั่นใจว่าถ้าหมอบอกต่อไปว่าหัวใจของลุงโตมากผมคงเป็นลมแน่ ๆ แต่ผิดคาดหมอบอกว่า หัวใจลุงก็ดีมาก ๆ ผมผุดลุกขึ้นนั่งหัวเราะพร้อมปรบมือสามครั้งด้วยความดีใจ จึงถูกหมอเอาไม้เรียวตีกลางหลัง 2 ทีพร้อมถามว่าลุงเป็นอะไร ของขึ้นหรือ ผมตอบว่า ผมดีใจครับคุณหมอ หมอโรงพยาบาลเจริญศิลป์ และหมอคลีนิกบอกว่าผมเป็นโรคหัวใจโตเต้นเร็วผิดจังหวะ หมอสั่งให้ผมนอนลงอัลตร้าซาวด์ซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ชี้ให้ผมดูหัวใจที่กำลังเต้นพร้อมอธิบายว่า หัวใจลุงดีมากแต่ลำใส้ใหญ่ของลุงบวมนิดหน่อย ลุงเป็นโรคกรดไหลย้อนจึงทำให้มีลมแน่นในช่องท้องแล้วดันหัวใจลุงให้เต้นแรงเร็วผิดจังหวะ หมอจะให้ยาลดกรดในกระเพาะไปกินนะ ถ้ายาหมดให้มารับใหม่ ผมกินยาหมออุดมทำให้อาการดีขึ้นตามลำดับและหายขาดในที่สุด ข้าพเจ้ารีบเข้าสืบค้นเรื่องโรคกรดไหลย้อนในอินเทอเน็ตทันที ซึ่งตรงกับอาการของโรคที่ข้าพเจ้ากำลังเป็นอยู่คือ เจ็บแป้บ ๆ บริเวณใต้ชายโครงด้านขวาและชายโครงด้านซ้ายโยงขึ้นมาตรงกึ่งกลางหน้าอก ปากขม เรอเหม็นเปรี้ยว เสียงแหบ คอแห้ง อุจจาระสีดำ แน่นท้องตลอดเวลา จุกเสียดเป็นบางครั้ง ยกของหนักทีไรหัวใจมีทีท่าจะเต้นผิดจังหวะทุกที เมื่อทราบอาการของโรคแล้วจึงสืบค้นหายารักษา ได้ยาชื่อ prevacid fdt 30 mg จึงรีบเข้าไปซื้อที่ร้านขายยาในตัวเมืองสว่างแดนดินชื่อร้านอุดรโอสถ เภสัชกรเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง เป็นคนรู้จักคุ้นเคยกัน จัดยา prevacid fdt 30 mg ให้หนึ่งกล่องพร้อมถามยิ้ม ๆ ว่า ตาเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือคะ ข้าพเจ้าตอบว่า น่าจะใช่ พร้อมยื่นแบ้งค์พันให้หนึ่งใบ ข้าพเจ้ารับยาพร้อมเงินทอนเพียง 150 บาท คิดในใจว่าทำไมค่ายาถึงแพงมากอย่างนี้ เมื่อกลับถึงบ้านจึงแกะกล่องออกนับเม็ดยาในแผงดู มีแค่ 14 เม็ด อ่านดูฝอยที่ติดมาในกล่องทำให้ทราบว่า เป็นยาที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นยารักษาโรคกรดไหลย้อน ให้กินวันละ 1 เม็ด หลังอาหาร 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงและกินเพียง 12 เม็ดเท่านั้น ข้าพเจ้าเริ่มกินยาเม็ดแรกอาการของโรคก็เริ่มหาย เพียง 12 วันข้าพเจ้าก็หายขาด จึงลดยาหัวใจลงโดยกินเพียงวันละเม็ดและเลิกกินในที่สุด บัดนี้ไม่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนแล้ว โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะก็พลอยหายขาดไปด้วย แต่ยังต้องกินยารักษาโรคต่อมลูกหมากโตวันละ 1 เม็ดเท่านั้น อีกไม่นานคงมียารักษาให้หายขาดไ้ด้ ข้าพเจ้ากลับมาเล่นแบดมินตันกับวัยรุ่นวันละหนึ่งชั่วโมงและทำงานถอนหญ้าขุดดินตัดแต่งต้นไม้ได้เหมือนเดิมแล้ว ที่สำคัญไปซื้อไก่ชนพม่าม้าล่อที่ขายไปตอนหัวใจเต้นผิดจังหวะกลับคืนมาเกือบทั้งหมด ที่ขายไปตอนนั้นเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย ซื้อมาปล้ำซ้อมแล้วขายใหม่ในราคาที่แพงกว่าเก่า ข้าพเจ้าคิดว่า คงต้องอยู่ยาวถึง 150 ปีชีวีสุขสันต์อย่างแน่นอน ก่อนถึงวันหมอนัดประมาณ 1 เดือน ข้าพเจ้าได้รับจดหมายแจ้งเตือนให้ข้าพเจ้าไปตามใบนัดที่ส่งมาจากศูนย์โรคหัวใจสิริกิติขอนแก่น ข้าพเจ้าจึงโทร.กลับไปขอยกเลิกทั้งหมายนัดไปพบแพทย์วันที่ 14 ตุลาคม 2559 และหมายนัดผ่าตัดวันที่ 24 ธันวาคม 2559 โดยชี้แจงว่าโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหายขาดได้เดือนกว่าแล้ว และข้าพเจ้าเลิกกินยาหัวใจแล้วเช่นกัน ปัจจุบันข้าพเจ้าแข็งแรงเป็นปกติแล้ว วิ่งได้ ทำงานหนักได้ พยาบาลที่รับสายถามว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะมันหายเองได้หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า โรคที่เป็นคือโรคกรดไหลย้อน เมื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนหายขาด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะก็หายขาดตามไปด้วย พยาบาลที่รับสายแนะนำว่า ถ้าหายจริงก็ดีใจด้วย แต่ถ้ามีอาการกำเริบอีกก็ให้โรงพยาบาลต้นสังกัดรีบทำเรื่องส่งตัวมาใหม่นะคะ ข้าพเจ้ารับคำ แต่พอถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2559 เจ้าหน้าที่โทร.มาตามอีกครั้งว่า ทำไมไม่มาตามนัด ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่าหายเป็นปกติแล้ว ออกกำลังกายได้ ปีนหลังคาทาสีบ้านได้ และเตะปี้บได้ด้วย จึงขอยกเลิกการรักษาทุกอย่าง ข้าพเจ้าหวังว่า อีกไม่นานหมอจะต้องค้นพบวิธีรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยไม่ต้องผ่าตัด
ผีกองก้นกล่าวว่า คนที่น่าจะรู้จักหัวใจตัวเองดีกว่าใครทั้งหมดคือคนที่เป็นเจ้าของหัวใจ เพราะเขาอยู่กับหัวใจของเขามาตั้งแต่เกิด หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ตามอาการเท่านั้นเช่น คนเป็นไข้หวัด หมอก็ให้กินยาแก้ไข้ คนไข้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หมอก็รักษาด้วยการผ่าตัดและช็อตหัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูงหรือทำบอลลูนหัวใจเพื่อทำให้หัวใจเต้นถูกจังหวะ ถ้าเจ้าของหัวใจไม่อยากให้หมอรักษาด้วยวิธีผ่าอกควรปรึกษาผีกองกอย
อาชีพรองที่น่าจะดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน
ข้าพเจ้ารับราชครูเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นเวลา 39 ปีกว่า วันสิ้นเกษียณข้าพเจ้าได้รับเงิน กบข. จำนวนสี่แสนกว่าบาท และได้รับเงินบำนาญเดือนละประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันกว่าบาท สิบสองปีต่อมา ค่าของเงินเปลี่ยน ข้าวของแพงขึ้น เมื่อสี่สิบปีก่อนเนื้อวัวกิโลละยี่สิบบาท แต่ปัจจุบันเนื้อวัวกิโลละสามร้อยยี่สิบบาท เงินบำนาญหมื่นกว่าบาทใช้เดือนชนเดือนก็ยังยาก ข้าพเจ้าจึงขายที่นาที่ซื้อไว้เมื่อประมาณสี่สิบปีในราคาไร่ละหนึ่งหมื่นกว่าบาทจำนวน 14 ไร่ ปรากฏว่าขายได้ราคาดีมากถึงไร่ละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ได้เงินมาสองล้านกว่าบาท ซึ่งมากกว่าเงินกบข.ตั้งหลายเท่า เสียดายที่ซื้อที่ดินไว้เพียงสี่ห้าแปลงเท่านั้น ไม่งั้นรวยตอนแก่อย่างแน่นอน ที่ดินติดถนนใหญ่เดิมราคาไร่ละหนึ่งแสนบาท ปัจจุบันราคาขึ้นไปถึงไร่ละสองล้านสามล้านบาท ข้าพเจ้าก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนอื่น ๆ ที่มักจะหลงมัวเมายศตำแหน่ง ความจริงสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนพยับแดด พอเข้าใกล้มีแต่ความว่างเปล่า พอเกษียณออกมาแล้วเหลือติดตัวกลับบ้านเพียงร่างกายที่แก่ชราทรุดโทรมรอซ่อมแซมกับเงินบำนาญเพียงนิดหน่อยสำหรับเป็นค่ารถเทียวไปโรงพยาบาลและค่ากินอยู่อย่างฝืดเคือง ยิ่งถ้าเป็นผู้บริหารที่ลูกน้องไม่ปลื้ม พอเกษียณออกมาแล้วลูกน้องจะเมินหน้า แม้จะยกมือไหว้ก่อนก็ยังทำทีเป็นไม่ห็น จงคิดเสมอว่ายศและตำแหน่งเปรียบเสมือนหมวกวิเศษในละคร ใครสวมเข้าต้องเต้นตามบทที่ผู้กำกับสั่ง พอถอดหมวกออกก็กลับเป็นผู้ชมตามเดิม จงสวมหมวกวิเศษแต่เฉพาะในที่ทำงานเท่านั้น พอเลิกงานจงถอดวางไว้หน้าห้องแล้วกลับไปเป็นพี่น้องเพื่อนฝูงเหมือนเดิม และกู้เงินซื้อที่ดินเก็บไว้บ้าง ถ้าใครทำได้ประมาณนี้จะม่วนชื่นโฮแซวและอบอุ่นไปตลอดชีวิต ถ้าทำตามนี้ไม่ได้บั้นปลายชีวิตของท่านจะพบแต่ความว้าเหว่ จะหาเพื่อนกินสักคนก็ยังยาก ข้าพเจ้ากู้เงินสหกรณ์มาปรับปรุงตำแหน่งผู้บริหารตั้งหลายแสนบาท ถ้าเก็บเงินจำนวนนั้นซื้อที่ดินเก็บไว้แล้วขายตอนนี้คงได้เงินอีกหลายล้านบาท
จึงมีข้อแนะนำสำหรับลูกหลานที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายว่า
- สืบเสาะหาที่ดินที่หลุดจำนองที่ทางธนาคารหรือกรมบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด หรือที่ดินที่เจ้าของหรือนายหน้าในชุมชนนำมาเสนอขายในราคาเงินสดหรือเงินผ่อน
- ไปเดินดูไปตรวจสอบที่ดินแปลงที่น่าสนใจ
- ไม่ซื้อที่ดิน สปก. ป่าสงวน หรือป่าอนุรักษ์โดยเด็ดขาดแม้ราคาจะถูกกว่า เพราะเสี่ยงต่อการถูกรัฐบาลยึดคืนในวันข้างหน้า
- ตรวจสอบดูเงินเดือนและเงินรายได้อื่นของตัวเองและครอบครัวให้กระจ่างว่า ถ้ากู้เงินสหกรณ์จำนวนมากที่สุดที่เขาให้กู้และส่งดอกส่งต้นคืนสหกรณ์และธนาคารแล้วยังมีเงินเหลือพอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้โดยไม่เดือดร้อน
- ตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงที่คิดว่าน่าจะพัฒนาได้ เช่นอยู่ใกล้หมู่บ้านชุมชน มีถนนเข้าถึง หรือสามารถตัดถนนผ่านเข้าไปได้
- พัฒนาที่ดินให้สวยงามดูดีมีคุณค่าน่าซื้อ
- ขายในยามจำเป็นหรือยามแก่ หรือเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน
ผีกองกอยกล่าวว่า…ผีหัวขาดได้ชื่อว่าเป็นผีเงินเดือน เพราะไม่มีรายได้อื่นนอกจากเงินเดือน แกเป็นพนักงานของบริษัทป่าช้าผีดิบจำกัด มีหน้าที่หลอกหลอนผู้คนยามค่ำคืนบริเวณทางผ่านป่าช้าด้วยการห้อยโหนโยนหัวลงจากต้นไม้ หัวแกจะกลิ้งขลุก ๆ ไปข้างหน้า แลบลิ้นปลิ้นตาร้องกรี้ด ๆ หลอกหลอนผู้คนที่เดินผ่านไปมา แล้วตัวแกก็กระโดดลงมาจากต้นไม้เสียงดังตุ๊บ เดินกางแขนตุปัดตุเป๋ทำทีท่าหาเก็บหัวตัวเอง พอเจอหัวก็จับหิ้วขึ้นตั้งบนบ่าเอามือเสยผมที่ยาวรุงรัง แลบลิ้นสีแดงยาวสองศอกเดินย่างสามขุมไปปีนต้นไม้ตามเดิม ทำให้ผู้คนตกใจขนลุกขนพองร้องเสียงหลงใส่เกียร์หมาวิ่งตามหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งไปอย่างไม่คิดชีวิต ถ้าหลอกได้น่ากลัวจนทำให้คนถูกหลอกเป็นไข้หัวโกร๋น ทางบริษัทป่าช้าผีดิบจำกัดจะจ่ายโบนัสให้สิบเท่าของเงินเดือน ปัจจุบันผู้คนที่ผ่านไปมาขี่รถมีไฟหน้าส่องสว่างทำให้เกิดภาพหลอนยาก รถก็เสียงดังและแล่นเร็วจนหลอกไม่ทัน แกถูกหักเงินเดือนและลดขั้นเงินเดือนมาหลายสิบปีแล้วเพราะไม่มีผลงาน ยังดีที่เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์แกซื้อที่ดินไว้หลายแปลง ลูกหลานขายที่ดินที่แกซื้อไว้ร่ำรวยกันทั่วหน้า ต่างพากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก ตอนนี้แกมี่ส่วนกุศลมากจนเหลือกินเหลือใช้สบายแล้ว จึงลาออกจากพนักงานป่าช้าผีดิบจำกัดเลิกหลอกหลอนผู้คนอีกต่อไป
ตามหาสวรรค์
เมืองสวรรค์อยู่ไหนใคร่จะรู้ สวรรค์อยู่บนฟ้าหรือบนไหน
บางคนว่าเมืองสวรรค์นั้นไม่ไกล ถ้าอยากไปก็ไม่ยากหากทำตาม
เพียงจ่ายเงินเล็กน้อยก็ถึงแล้ว เหล้าสองแก้วสาวรินให้เมาใกล้หาม
เสพยาบ้ายาอีมีเสพกาม มั่วสาวงามม่วนมึนมันเมื่อยเมา
พอเริ่มเมาสวรรค์มานางฟ้าเพรียบ นั่งนอนเสพสุขสมนางฟ้าสาว
ความรู้สึกล่องลอยไปในหมู่ดาว เพียงชั่วคราวก็ชั่งมันสวรรค์เรา
บางคนว่าไปสวรรค์งานจิ๊บจ๊อย จ่ายนิดหน่อยสามบาทฟาดเหล้าขาว
เปิดลำซิ่งฟ้อนเซิ้งเพียงชั่วคราว พอเริ่มเมาเห็นสวรรค์ในทันใด
พระสอนว่าเมืองสวรรค์นั้นมีอยู่ ถ้าอยากรู้ตามมาอย่าสงสัย
รักษาศีลถือธรรมประจำใจ เมื่อเราตายทพเทวาพาไปเอง
คริสต์สอนว่าอย่าถามห้ามสงสัย อยากจะไปเมืองสวรรค์ห้ามโต้เถียง
เชื่อพระเจ้าแล้วเราได้ดีเอง เราทำเพียงไหว้วิงวอนทุกวันคืน
อิสลามสอนให้เชื่อพระอัลเลาะห์ ที่จำเพาะช่วยคนที่ไม่แข็งขืน
คนละหมาดอ้อนพระองค์ทุกวันคืน จะได้ขึ้นเมืองสวรรค์ถ้าหมั่นวอน
จะเชื่อใครดีเล่าครับพี่น้อง เขม้นมองซ้ายขวาหาคำสอน
อ่านหนังสือเรื่องสวรรค์ก่อนจะนอน จนเหนื่อยอ่อนก็ไม่เห็นทางเป็นไป
ชีวิตเราเข้าใกล้ความตายแล้ว ไร้วี่แววเมืองสวรรค์อันสดใส
ไม่รู้ว่าเมืองสวรรค์อยู่แห่งใด ถ้าเราตายร่างเราก็เผาไฟ
ส่วนวิญญาณหลังตายเราไม่รู้ ว่ายังอยู่หรือลาลับดับสูญหาย
อาจเหมือนค่างบ่างชะนีหมีวัวควาย พอมันตายไม่เคยมีผีพวกมัน
คงมีแต่วิญญาณผีพวกมนุษย์ ไม่ไปผุดไปเกิดในความฝัน
ส่วนตัวจริงเสียงจริงอยู่ไหนกัน ตื่นจากฝันพลันหายไม่เห็นตัว
ได้แต่ทำตามที่พระท่านสอน เช้าตื่นนอนใส่บาตรท่านเจ้าขรัว
รักษาศีลถือธรรมประจำตัว ถึงไม่ชัวร์จะได้ไปไม่คำนึง
คนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพมาเล่าเป็นตุเป็นตะว่า มีลูกน้องยมบาลมาพาเขาไปเมืองนรกได้เห็นยมบาลพิพากษาและลงโทษคนทำผิดศีลห้า แต่ละข้อแตกต่างกันไปเช่น เป็นชู้กับผัวเขาเมียคนอื่นก็จะถูกลูกน้องยมบาลเอาหอกไล่แทงให้ปีนต้นงิ้วหนาม พอขึ้นไปบนต้นงิ้วได้ก็ถูกฝูงอีกาปากเหล็กบินมารุมจิกและเจาะลูกตาจนพลัดตกต้นงิ้วลงมาร้องโอดโอยโหยหวลด้วยความเจ็บปวด ฝูงหมานรกที่เฝ้าอยู่ข้างล่างพากันเข้ารุมกัดรุมทึ้งลากใส้ออกมากิน พอตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ลูกน้องยมบาลก็จะเอาหอกมาไล่แทงให้ปีนต้นงิ้ววนเวียนอยู่อย่างนี้รอบแล้วรอบเล่า คนผิดศีลข้อห้าคือดื่มสุราก็จะถูกลูกน้องยมบาลเอาน้ำทองแดงร้อน ๆ กรอกปากจนท้องเปื่อยลำใส้ทะลักออกมากองร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณ ตายแล้วก็ฟื้นคืนมารอบแล้วรอบเล่าไม่สิ้นสุดจนกว่าจะสาสมแก่ความผิด ตอนยมบาลพากลับมาส่งเข้าร่างเดิมแกยังขอโทษที่จับมาผิดตัว แต่ยังไม่วายขู่สำทับว่าถ้าเองกลับไปแล้วทำความชั่วผิดศีลละก็เองจะถูกลงโทษหนักอย่างที่เห็น เมืองสวรรค์มีจริงหรือไม่ คำตอบคือน่าจะมีอยู่จริง ถามว่าคุณเคยเห็นเมืองสวรรค์หรือไม่ คำตอบคือยังไม่เคยเห็น ถามต่อไปว่าเมื่อคุณไม่เคยเห็นเมืองสวรรค์ทำไมจึงเชื่อว่าเมืองสวรรค์มีอยู่จริง คำตอบคือเชื่อตามคำบอกเล่าของผู้ที่เคยไปมาแล้ว ใครคือผู้ที่เคยไปสวรรค์มาแล้วบ้าง คำตอบคือคนที่เคยฝันว่าได้ขึ้นสวรรค์เล่าให้ฟัง ซึ่งมันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้เพราะมันเป็นเพียงความฝัน ส่วนเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏกว่าพระุพทธเจ้าเคยขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครบสามเดือนแล้วเสด็จลงมาออกพรรษาที่เมืองสังกัสสะนครนั้น อาจเป็นเพราะพระสาวกรุ่นหลังโฆษณาชวนเชื่อเลยเถิดไปหน่อยเท่านั้นเอง เพราะคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่อาจเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ได้ มีแต่วิญญาณของคนตายเท่านั้นจึงจะสามารถล่องลอยไปสู่ภพอื่นได้ ความจริงน่าจะเป็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่หมู่บ้านแถบเชิงเขาหิมาลัยแล้วเสด็จลงมาออกพรรษาที่เมืองสังกัสสะนคร ถามว่าใครเป็นคนเก็บรักษาบุญบาปของเราไว้ เวลาเราตายจะไปเบิกบุญและบาปของเราจากใคร สมัยปู่ย่าตายายสอนลูกหลานว่า เทวดาจะคอยบันทึกการทำบุญของคนเราไว้บนแผ่นทองและเก็บรักษาผลบุญของคนเราไว้บนสวรรค์ พอคนเราตายก็จะมีเทวดาและนางฟ้ามาแห่แหนพาเหาะขึ้นสวรรค์เพื่อเสวยผลบุญที่ตัวเองได้ทำไว้ ส่วนยมบาลจะบันทึกการทำบาปของคนเราไว้บนหนังหมาเน่าและเก็บรักษาผลบาปของคนเราไว้ในเมืองนรก พอคนทำบาปตาย ยมบาลจะมาตามไปเมืองนรกเพื่อเสวยผลบาปที่เคยทำไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า วิญญาณของมนุษย์และสัตว์ที่รอขึ้นสวรรค์คงมีมากมาย ซึ่งจะทำให้เทวดากับนางฟ้าต้องลงมาแห่พาเหาะขึ้นสวรรค์จนไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอนเป็นแน่ เทวดากับนางฟ้าจึงน่าจะมีความทุกข์มากกว่าเราหลายร้อยเท่า ส่วนยมบาลยิ่งแย่เพราะต้องเปิดดูรายชื่อของมนุษย์ชั่วที่บันทึกไว้บนหนังหมาเน่าที่กองเป็นภูเขา กว่าจะหาเจอก็คงต้องเปิดหนังหมาเน่าจนเหนื่อย และที่สำคัญต้องสูดดมกลิ่นเหม็นของหนังหมาเน่าตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้ยมบาลเป็นโรคปอดตายได้ ขึ้นสวรรค์ก็งานมากจนไม่มีเวลาพักผ่อน ลงนรกก็ถูกทรมาณแล้วเราจะไปไหนดี เพื่อน ๆ ที่ตายไปซึ่งก็คงมีบ้างที่ได้ขึ้นสวรรค์และลงนรก แต่ก็ไม่มีใครส่งข่าวมาเลย
ตามหาเมืองสวรรค์มานานหลายสิบปียังไม่เคยเห็นแม้แต่ในความฝัน ข้าพเจ้าจึงได้แต่เชื่อตามโบราณว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ไปพลาง ๆ ก่อน และเพื่อความไม่ประมาทก็ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการ ให้ทานมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังทรัพย์ รักษาศีลห้าครบบ้างไม่ครบบ้างตามความสามารถ เจริญภาวนาตามแต่จะนึกได้เพื่อทำให้ใจสงบและเกิดปัญญารู้เท่าทันรูป รสกลิ่นเสียง สัมผัสและอารมณ์ที่จรมากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ พยายามข่มใจไม่ปรุงแต่งรูป รสกลิ่นเสียง สัมผัสและอารมณ์ที่จรมากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจว่าดีหรือร้าย เมื่อใจไม่ปรุงแต่งการเสวยอารมณ์ก็ไม่มี ความอยากได้อยากมีอยากเป็นและความอยากไม่มีความอยากไม่เป็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ใจเริ่มสงบ ร่มเย็นและเป็นสุข แต่คราใดที่ใจคิดปรุงแต่งรูป รสกลิ่นเสียง สัมผัสและอารมณ์ที่จรมากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจว่าดีว่าร้าย ใจก็เสวยอารมณ์ที่ปรุงแต่งนั้น ความอยากมีอยากเป็นเกิดขึ้นทันทีทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจจนบางครั้งนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ต้องลุกขึ้นมานั่งคิดแผนการณ์เพื่อให้ได้มีเป็นดั่งที่ใจต้องการ ทำให้เกิดความทุกข์ ความเครียด และโรคภัยไข้เจ็บตามมา โอกาสไปเมืองสวรรค์ดูลางเลือน
มหาหิงส์ นารีสนั่น ให้ทัศนะว่า สวรรค์เป็นเมืองแห่งความสนุกสนานครึกครี้นม่วนชื่นโฮแซว มีเพื่อนฝูงเยอะ นางฟ้าแยะ และมีกิจกรรมครื้นเครงมากมาย จำได้ว่าสมัยเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์สนุกมากจนลืมโลกมนุษย์ไปเลย นางฟ้าล้วนแต่สาว ๆ สวย ๆ นุ่งสั้นไม่ใส่กางเกงใน เห็นอะไร วับ ๆ แวม ๆ วัน ๆ ไม่มีอะไรทำนอกจากเล่นไล่กอดกัน มั่วนางฟ้าอยู่หลายปีจนบุญหมดจึงต้องหล่นลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งสุดแสนจะลำบาก อยากจะกลับไปสวรรค์อีกแต่ยังกลับไม่ได้เพราะยังไม่ตาย วิญญาณคนและสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจะไปสวรรค์ได้ ถ้าตายปั๊บเราจะรีบกลับสวรรค์ทันทีก่อนที่ยมบาลจะมาตามตัวไปนรกเพราะทำบาปกรรมไว้ไม่น้อย ทุกวันนี้กำลังสะสมบุญด้วยการให้ทาน และรักษาศีล ส่วนการเจริญภาวณาก็ทำบ้างเพียงเล็กน้อยเพราะกลัวว่าบุญจะมากเกินไปทำให้เหาะเลยสวรรค์ไปถึงนิพพาน นิพพานเป็นเมืองแห่งความสุขแต่ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองแห่งความเหงา เพราะทุกคนที่ไปถึงนิพพานจะพากันนั่งดื่มด่ำอยู่กับความสุขแต่เพียงลำพัง ไม่สนใจกัน ไม่พูดคุยกัน ไม่สนุกสนาน และที่สำคัญไม่มีนางฟ้าให้กอดเหมือนเมืองสวรรค์
โรคหัวใจกลับมา
ข้าพเจ้าหยุดกินยารักษาโรคหัวเต้นผิดจังหวะได้หลายเดือนด้วยคิดว่าโรคดังกล่าวน่าจะหายขาดแล้ว ข้าพเจ้าพาครอบครัวไปงานศพคุณแม่โดยพักอยู่ที่บ้านอาจารย์นิวรซึ่งเป็นน้องชายเป็นเวลาสามคืน สองคืนสุดท้ายรู้สึกว่าท้องใส้ไม่ค่อยดีแน่นท้องและถ่ายวันละหลายครั้ง หลังงานศพคุณแม่แล้ว ข้าพเจ้าให้ลูกชายทั้งสองคนขับรถกลับก่อนเพราะลูกชายคนโตมีงานด่วนที่โรงเรียน ส่วนข้าพเจ้าขับรถอีกคันพาแม่บ้านและเพื่อนที่ไปด้วยกันกลับบ้านที่เจริญศิลป์ในวันหลัง แวะถ่ายตามปั้มน้ำมันรายทางถึงสามครั้ง พอกลับถึงบ้านก็ถ่ายต่ออีกหกครั้ง หัวใจเริ่มเต้นเร็วผิดจังหวะอีกครั้งหลังห่างหายมานานถึงสี่เดือนกว่า ข้าพเจ้ารีบอาบน้ำกินยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะสองเม็ดแล้วนอนเพื่อดูอาการเป็นเวลาสี่สิบนาที แต่หัวใจยิ่งเต้นเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเจ็บและแน่นหน้าอกจนทนไม่ไหวจึงให้แม่บ้านพาไปโรงพยาบาล ขณะเดินไปขึ้นรถรู้สึกหน้ามืดหลับตามองเห็นแสงสีเหลืองระยิบระยับเต็มไปหมด เดินเองไม่ได้ ต้องอาศัยลูกชายทั้งสองประคองไปขึ้นรถ เมื่อถึงโรงพยาบาลเจริญศิลป์ต้องอาศัยลูกชายทั้งสองประครองเข้าห้องฉุกเฉิน ข้าพเจ้าขึ้นนอนบนเตียง พยาบาลเอาเครื่องมือแพทย์ที่มีสายระโยงระยางมาจ้ำ ครีบตามลำตัว มือและเท้าแล้วรายงานให้คุณหมอมาดูอาการ ได้ยินเสียงแม่บ้านที่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นว่า หัวใจเต้นเร็วมากถึง 199 ครั้งแล้วคะคุณหมอ พยาบาลสองคนเข้าประจำที่เข็มฉีดยาโดยมีคุณหมอเป็นผู้ให้สัญานนับ หนึ่ง สอง สาม ทันทีที่พยาบาลดันน้ำยาเข้าไปหัวใจของข้าพเจ้าก็หยุดเต้นทันที รู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงเหมือนใจจะขาดรอน ๆ จนต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด สักพักก็ได้ยินเสียงเครื่องมือแพทย์ที่นับการเต้นหัวใจของข้าพเจ้าเริ่มดังขึ้น และดังอย่างช้า ๆ และเป็นปกติในที่สุด แสดงถึงว่าข้าพเจ้ารอดตายอีกครั้งแล้ว ข้าพเจ้าขอพักรักษาที่โรงพยาบาลเจริญศิลป์แต่คุณหมอบอกว่าโรคของตาอันตรายมาก โรงพยาบาลของเรามีเครื่องมือแพทย์ไม่พอ จึงส่งตัวข้าพเจ้าไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสกลนคร ข้าพเจ้าเดินไปขึ้นรถรีเฟอร์ของโรงพยาบาลเปิดหวอห้อแนบยังติดจรวดโดยมีนางพยาบาลดูแลหนึ่งคน ถึงโรงพยาบาลสกลนครแล้ว พลเปลเข็นข้าพเจ้าไปห้องฉุกเฉินเพื่อทำประวัติ ตรวจเลือด แล้วเข็นต่อไปที่ตึกอายุรกรรมชายชั้นสอง ข้าพเจ้าได้อยู่ห้องรวมผู้ป่วยหนัก แต่ละคนนอนซม มีสายระโยงระยาง ดมอ๊อกซิเจน หายใจพะงาบ ๆ จะตายมิตายแหล่ พยาบาลประจำห้องเข้มงวดมากขอเข้าห้องน้ำเองกลับหาโถถ่ายมาให้ ข้าพเจ้าจึงต้องทำทีเป็นคนหูตึงลงจากเตียงยกขวดน้ำเกลือเดินยิ้มเผล่ไปเข้าส้วมทันที พอกลับออกมาถูกแม่บ้านบ่นว่าไม่เชื่อฟังหมอเดี๋ยวโดนหมอฉีดยาตายให้หรอก ข้าพเจ้าพูดพลางชำเลืองดูพยาบาลสาวว่า พยาบาลสวยมากทายว่าต้องใจดีอย่างแน่นอน ข้าพเจ้านอนหลับสบายอยู่บนเตียง สายหน่อยลุงกับป้าและญาติพี่น้องฝ่ายภรรยามาเยี่ยมให้กำลังใจ ตอนบ่ายลูกชายคนโตกลับบ้านไปทำงานที่โรงเรียน ตอนกลางคืนแม่บ้านนอนเฝ้าไข้อยู่ใต้เตียง ต้องดมถุงขี้ของพ่อตู้เตียงข้าง ๆ ทั้งคืน ส่วนลูกชายคนเล็กลงไปนอนในรถรอรับโทรศัพท์จากแม่ พยาบาลมาเจาะเลือด นำปรอดมาวัดไข้ และฉีดยาฆ่าเชื้อทุกสี่ชั่วโมง สิบโมงเช้าวันรุ่งขึ้นคุณหมอพร้อมคณะมาตรวจไข้ คุณหมอดูรายงานที่โรงพยาบาลเจริญศิลป์ส่งมาแล้วพูดว่า ตาเกือบได้ไปอยู่ข้างกำแพงวัดนะนี่ คุณตาดื้อจัง ทำไมไม่ยอมกินยาที่หมอสั่ง ข้าพเจ้าตอบว่า ก็เห็นเพื่อน ๆเป็นโรคเดียวกันนี่แหละแต่เดี๋ยวนี้หายแล้ว เขาเลิกกินยาได้ปีกว่าแล้ว ตาก็คิดว่าตัวเองหายขาดแล้วเหมือนกันจึงเลิกกินยาได้สี่เดือนกว่า ตาคิดว่าถ้าท้องไม่เสียหัวใจก็คงไม่เต้นผิดจังหวะอย่างแน่นอน คุณหมอหัวเราะพลางพูดว่า โรคนี้ไม่หายขาดหรอกตา มีโรคอื่นแทรกเมื่อไหร่มันจะผสมโรงทันที มีสองทางให้ตาเลือกในตอนนี้คือ 1. กินยาวันละ 2 เม็ด เช้าเย็น 2. ช็อตหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้า ซึ่งเมื่อช็อตแล้วตาจะหายขาดจากโรคนี้ทันทีและไม่ต้องกินยาอีกเลย ข้าพเจ้าถามว่า โรงพยาบาลของเรารักษาโดยการช็อตหัวใจได้หรือยัง คุณหมอตอบว่า ประมาณต้นเดือนมิถุนายน บุคลากรที่ไปรับการฝึกอบรมเรื่องนี้จึงจะกลับมา ตาจะไปศูนย์หัวใจสิริกิติ์ขอนแก่นตอนนี้หรือจะกินยารอหมอ ข้าพเจ้าตอบว่า ตาขอเลือกกินยารอหมอดีกว่าครับ ตอนบ่ายข้าพเจ้าถูกย้ายไปอยู่ห้องคนป่วยธรรมดา พี่สนิทกับลูกหลานญาติพี่น้องจากบ้านด่านม่วงคำมาเยี่ยมให้กำลังใจ แม่บ้านและลูกชายคนเล็กก็ยังลำบากในการเฝ้าไข้เหมือนเดิม นอนโรงพยาบาล 3 คืน หมดยาฆ่าเชื้อและน้ำเกลืออย่างละ 4 ขวด ก่อนกลับบ้านให้ลูกชายไปรับยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ส่วนแม่บ้านนำเสื้อผ้าที่ลูกชายคนเล็กกลับไปเอาจากบ้านมาให้ ข้าพเจ้าตรวจดูแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เพราะมีกางเกงขาสั้นสองตัว ตัวหนึ่งยังใหม่แต่ไซด์เล็ก อีกตัวขาดรุ่งริ่ง ส่วนเสื้อทั้งเก่าทั้งขาด แม่บ้านขยั้นขะยอให้ลองสวมกางเกงตัวใหม่ดู พูดพลางรูดผ้าม่านกั้นให้ ข้าพเจ้าไม่ขัดใจลองใส่ให้เธอดู มันใส่ได้เพียงสองขาเท่านั้นพอรูดขึ้นไปก็ติดก้นจึงต้องถอดออก ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ต้องจำใจแปลงร่างเป็นยาจกชูหัวหน้าพรรคกระยาจก ด้วยการนุ่งกางเกงขาดเสื้อขาด หิ้วถุงสัมภาระเดินตามหลังแม่บ้านและลูกชายคนเล็กออกจากห้องคนไข้ท่ามกลางสายตา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยความขบขันของเพื่อนร่วมห้องและนางพยาบาล
การเจ็บป่วยครั้งนี้หาได้บั่นทอนความมั่นใจของข้าพเจ้าแต่ประการใดไม่ ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากเซียนสง่าว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจากโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน เพราะเกือบสองปีแล้วยังไม่เห็นเซียนสง่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกเลย ส่วนข้าพเจ้าใช้ชีวิตผิดพลาดไปนิดเดียวที่ไม่ระวังเรื่องอาหารการกิน เพราะเกือบทุกครั้งที่โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะกำเริบจะเกิดหลังกินมะละกอสุก และขนุนสุก ทำให้แน่นท้อง ท้องร่วง และลมในท้องดันหัวใจจึงทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ข้าพเจ้าทดลองเลิกกินยาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่หมอให้มาอีกครั้ง
มหาหิงส์ นารีสนั่น กล่าวว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นโรคที่อันตรายมาก โรคนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากตายโดยไม่ต้องรักษา เพราะถ้าโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะกำเริบขึ้นมาอย่างกระทันหันในขณะนอนหลับก็จะไหลตายไปเลย คนที่ไปโรงพยาบาลช้าก็จะขาดใจตายระหว่างทาง ส่วนคนที่หมอช่วยไม่ทันก็ต้องขาดใจตายบนเตียงในห้องฉุกเฉิน จึงมีข้อแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่อยากตายว่า ถ้าบ้านอยู่ไกลโรงพยาบาลหรือขี้เกียจไปนอนโรงพยาบาลควรกินยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่อยากกินยาเมื่อไหร่จึงไปให้คุณหมอซ็อตหัวใจให้ แต่ถ้าอยากตายก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
พลาดจนได้
ข้าพเจ้าทดลองเลิกกินยาที่หมอสั่งอีกครั้ง พยายามระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน งดอาหารที่คิดว่าน่าจะทำให้ท้องเสีย กินอาหารแต่พอประมาณไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ไปปรึกษาเภสัชกรร้านขายยาใกล้บ้าน กินยาโมดูซอลซึ่งเป็นยารักษาแผลในลำไส้และแผลในกระเพาะอาหารที่เภสัชกรจัดให้ หัวใจเต้นเป็นปกติเรื่อยมาได้สองเดือนกว่า ๆ จนกระทั้งบ่ายวันหนึ่งอากาศร้อนอบเอ้ามาก ข้าพเจ้าไปหาช่างสม-งิที่บ้านเพื่อปรึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้ลูกชายคนโต ขณะคุยกันอย่างออกรสออกชาติจมูกก็ได้สัมผัสกลิ่นเต่าของช่างสม-งิโชยมาเข้าจมูกอย่างจัง เหม็นมากจนทนไม่ไหวหัวใจเริ่มเต้นเร็วอีกครั้ง ข้าพเจ้ารีบขอตัวเดินออกมาขี่มอร์ไซด์กลับบ้านทันที พอถึงบ้านรีบกินยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะทันที เข้าส้วม อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า นอนดูอาการได้ประมาณห้านาทีกว่า ๆ เห็นว่าไม่ไหวจึงขี่รถมอร์ไซด์ไปโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 9 พอถึงโรงพยาบาลเจริญศิลป์รีบยื่นบัตรแล้วเดินเข้าห้องฉุกเฉิน ขึ้นนอนบนเตียง พยาบาลวุ่นวายทั้งห้อง มีทั้งเข้ามาถามอาการ เข็นเครื่องมือวัดความดัน วัดหัวใจ ให้น้ำเกลือ และเตรียมยาที่เคยฉีดให้ข้าพเจ้าทุกครั้งและรอคำสั่งจากคุณหมอ ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอกด้านซ้ายมาก ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันว่าหัวใจตาเต้น 180 ครั้งต่อนาที คิดในใจว่าถ้ามันเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ คงต้องขาดใจตายเหมือนคุณพยาบาลสาวสวยที่ขาดตายด้วยโรคเดียวกันนี้ บนเตียงนี้ เมื่อวานนี้เป็นแน่ พอคุณหมอสัจพงษ์ ผอ.โรงพยาบาลมาถึงก็สั่งเดินยาทันที พยาบาลสั่งให้ข้าพเจ้ายกแขนซ้ายที่ฉีดยาขึ้น ความรู้สึกล่องลอยเหมือนตกลงไปในหุบเขา หัวใจของข้าพเจ้าหยุดเต้นไปชั่วขณะและเริ่มเต้นอย่างช้า ๆ และกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง คุณหมอสั่งให้ข้าพเจ้านอนที่โรงพยาบาล 1 คืนเช่นเคย คุณหมอสั่งพยาบาลเจาะเลือดข้าพเจ้าเพื่อตรวจหาไทรอยด์ และนัดฟังผลวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2560 คุณหมออกจากห้องไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอร้องพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงถอดเข็มฉีดยาสามทางออกให้เพราะรู้สึกอึดอัดและปวดบวมที่ข้อมือมาก พนักงานเปลเข็นข้าพเจ้า ไปห้องคนไข้รวม โดยให้เหตุผลว่าตาเป็นโรคที่อันตรายต้องอยู่ใกล้พยาบาล เมื่อถึงวันนัดข้าพเจ้ากลับลืมเรื่องนี้เสียสนิท จึงต้องไปฟังผลวันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2560 พอเข้าไปในห้องตรวจ คุณหมอสุชาติ ถาดจอหอ ถามยิ้ม ๆว่า เป็นไงตา ธุรกิจบ้านเช่าของตาเวิคไหม ข้าพเจ้าหัวเราะตอบว่า มีคนจองหมดแล้วครับ แต่จะมีคนอยู่จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ คาร์แคร์ของคุณหมอที่โลตัสสว่างเป็นไงบ้างครับ คุณหมอหัวเราะตอบว่า ก็พอไปได้เรื่อย ๆ แต่วันที่ฝนตกแย่หน่อย เออ ผลการตรวจเลือดมาแล้ว เลือดตาปกติ ไม่เป็นไทรอยด์ ให้ตากินยาหัวใจตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด และรักษาสุขภาพด้วยการกินอาหารครบห้าหมู่ ออกกำลังกายบ้างเล็กน้อยวันละ 10 นาที แต่ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันนะครับตา
ความเชื่อมั่นเดิมของข้าพเจ้าเริ่มสั่นคลอน จึงเริ่มกินยาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะตามคำแนะนำของคุณหมออีกครั้ง
มหาหิงส์ นารีสนั่น กล่าวว่า….หมอผีเก่งเรื่องการจับผีเข้าหม้อ หมอดูเก่งเรื่องการเดา ถ้าจะให้หมอดูไปจับผีเข้าหม้อแข่งกับหมอผีคงไม่ได้ผีสักตัว ดีไม่ดีอาจถูกผีหักคอเอาได้ หมอนวดเก่งเรื่องการจับเส้น หมอหำเก่งเรื่องการตอนหำ ถ้าจะให้หมอนวดไปตอนหำแข่งกับหมอหำคงไม่มีทางทำได้ ดีไม่ดีคนไข้หำแตกตาย ส่วนหมอนวดติดคุกแน่นอน หมอฟันเก่งเรื่องการถอนฟัน หมอหัวใจเก่งเรื่องการซ่อมแซมหัวใจที่ชำรุด จะให้หมอฟันมาซ่อมหัวใจคนไข้ตายแน่นอน ดังนั้นคนไม่เคยเรียนหมอก็ไม่ควรสำคัญผิดคิดว่าตัวเองเก่งเท่าหมอหรือเก่งกว่าหมอ แต่ถ้าอยากจะตั้งตัวเป็นหมอรักษาโรคหัวใจตัวเองและตายเองก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า
กลับไปหาคุณหมอหัวใจอีกครั้ง
ข้าพเจ้าอายุได้ 73 ปีกว่า ๆ แล้ว สังขารร่วงโรยเหมือนบ้านเก่าที่ผุพังรอการซ่อมแซม สายตาฝ้าฟางต้องพึ่งพาแว่นขยาย ฟันหายไปสองซี่ต้องใส่ครอบฟัน หมอบอกว่าต่อมลูกหมากซึ่งเป็นส่วนประกอบของหำโตมากหน่อย ข้าพเจ้ากินยาคาโซซินขนาด 2 มิลลิกรรมก่อนนอนคืนละ 1 เม็ดทุกคืน กินยาลดขนาดต่อมลูกหมากประมาณ 10 เดือนแต่ยังไม่ได้ไปให้หมออัลตร้าซาวด์ดูว่าต่อมลูกหมากหดแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ และกินยาเวอราพามิลเพื่อรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหลังอาหารวันละ 3 มื้อทุกวัน คุณหมอบอกว่ายานี้กินได้ถึงวันละ 4 เม็ดถ้าจำเป็น หัวใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ข้าพเจ้าสามารถออกกำลังกายได้ ทำงานได้ แต่ยังไม่มั่นใจว่าหัวใจจะเป็นปกติไปได้นานเท่าใด ปลายเดือนตุลาคม 2560 ข้าพเจ้าตัดสินใจจะให้หมอรักษาด้วยวิธีซ็อตหรือจี้หัวใจตามทีคุณหมอเคยนัดหมาย จึงนัดหมายกับครอบครัวให้พาข้าพเจ้าไปที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ขอนแก่นอีกครั้ง แต่บังเอิญท่าน ผอ.สุพิทย์ จุลราช มาชวนไปโรงพยาบาลศรีนัครินทร์ขอนแก่นเพื่อรักษาตาขยิบซึ่งเป็นมานานหลายเดือนและไปรับการรักษาหลายหมอแล้วแต่ไม่หาย ต้องเอาผ้ามัดศีรษะไว้ตลอดเวลายังกะนักกีฬาตะกร้อ ท่านบอกว่าจะขับรถไปคนเดียวจึงตัดสินใจนั่งรถไปเป็นเพื่อน ถึงเวลานัดหมายตี 3 ข้าพเจ้าไปยืนรอขึ้นรถที่หน้าบ้าน พอเปิดประตูรถเห็นคุณนายของท่านนั่งอยู่เบาะหลัง พวกเราคุยกันสนุกสนานไปตลอดทาง ถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระศรีนัครินทร์ขอนแก่นตี 5 ครึ่ง ผอ.สุพิทย์ขับรถไปส่งข้าพเจ้าที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ซึ่งอยู่ติดกัน ข้าพเจ้าเดินไปเข้าแถวรับบัตรคิวได้บัตรคิวคนไข้เก่าที่ 10 วันแรกได้รับการตรวจแค่ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และวัดการเต้นของหัวใจ เมื่อเข้าห้องตรวจคุณหมอเอาเครื่องมาจิ้มที่หน้าอกถามอาการแล้วเขียนจดหมายถึงโรงพยาบาลเจริญศิลป์ ยื่นให้ข้าพเจ้านำกลับไปขอประวัติผลการตรวจรักษามาแสดงเพื่อประกอบการรักษา ข้าพเจ้าออกจากห้องตรวจเวลา 11.30 น. แล้วจึงลงไปทานมื้อเที่ยงที่ห้องอาหารชั้นล่าง ข้าพเจ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทร.หาท่านผอ.สุพิทย์ ปรากฎว่าแบตเตอรี่หมด หลังทานมื้อเที่ยงแล้วตัดสินใจเดินตามหาท่านผอ.สุพิทย์กับคุณนายของท่านที่โรงพยาบาล วันนี้คนไข้ล้นหลาม ทางโรงพยาบาลจัดเวทีคอนเสริตคาราโอเกะเล็ก ๆไว้ที่มุมห้องโดยมีคุณหมอและพยาบาลยืนร้องเพลงขับกล่อมเพื่อให้คนไข้ได้ผ่อนคลาย ข้าพเจ้าเดินจนทั่วแล้วไม่พบจึงตัดสินใจกลับไปนั่งรอตรงจุดแรกที่ท่านผอ.สุพิทย์ส่งข้าพเจ้า ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเห็นท่านผอ.สุพิทย์เดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล คำแรกที่ถูกทักคือทำไมไม่เปิดโทรศัพท์ ข้าพเจ้าตอบไปว่าแบดหมด เดินตามหาท่านสามรอบแล้วแต่ไม่เจอจึงต้องวนกลับมาที่เดิม ขอบคุณที่ไม่ทิ้งให้หาทางกลับบ้านเอง สักครู่คุณนายของท่านก็พาน้องมิ้มลูกสาวคนสวยและหลานสาวตัวน้อยกำลังน่ารักมาสมทบพากันเดินไปขึ้นรถที่ลานจอดซึ่งอยู่ห่างออกไป ก่อนออกจากเมืองขอนแก่นได้แวะเยี่ยมบ้านน้องมิ้มกับหลานสาวตัวน้อยซึ่งเป็นลูกพี่ชายที่ทำงานเป็นผู้พิพากษาที่ศาลจังหวัดอุดรธานี ครอบครัวท่าน ผอ.สุพิทย์อบอุ่นมั่นคง ลูกทุกคนมีงานทำและมีครอบครัวหมดห่วงแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านข้าพเจ้าได้ดำเนินการตามคำแนะนำของคุณหมอทุกประการและรอวันกลับไปพบหมอหัวใจตามนัดหมาย
มหาบุญถึง ยืนยันหลัก ถามว่า ฮ่องเต้กับโจรกระจอกต่างกันอย่างไร ?
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ ตอบว่า ฮ่องเต้ทำงานเป็นทีม ส่วนโจรกระจอกทำงานคนเดียว
มหาบุญถึง ยืนยันหลัก เฉลยว่า ที่ตอบมาก็ถูกเป็นบางส่วน แต่คำตอบที่ถูกที่สุดคือ ฮ่องเต้มีที่ปรึกษาและทำงานเป็นทีม ส่วนโจรกระจอกไม่มีที่ปรึกษาและทำงานคนเดียว
มหาหิงส์ นารีสนั่น กล่าวสรุปว่า คนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงไม่มีที่ปรึกษา เขาจะทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ เพราะเขาคือโจรกระจอก
ผ่าตัดจี้หัวใจ
สามเดือนต่อมาข้าพเจ้าได้นำหลักฐานไปพบคุณหมอดุจดาว สหัสทรรศน์ ที่ศูนย์สิริกิติ์ขอนแก่นตามนัดหมาย คุณหมอรับเอกสาร ตรวจร่างกาย นัดหมายการผ่าตัดในอีกสามเดือนข้างหน้าเพราะคิวมันยาว ข้าพเจ้าไปจองห้องราคา 1,400 บาทโดยต้องจ่ายเพิ่มอีกคืนละ 400 บาท รับยา ไอซ็อบติน 240 มก. พร้อมรับคำแนะนำว่าให้แบ่งกินวันละครึ่งเม็ด หลังอาหารเช้า และงดกินยาก่อนผ่าตัด 7 วันคือตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 25 มีนาคม 2561 ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านรอการผ่าตัดด้วยความสบายใจ ก่อนวันนัดผ่าตัด 7 วันข้าพเจ้างดยา โกนขนใต้ร่มผ้าและขนรักแร้จนเกลี้ยงเกลากลายเป็นเฒ่าทารกทันทีเพื่อรอรับการผ่าตัดที่กำลังจะมาถึง
25 มีนาคม 2561 ภรรยาและลูกชายคนโตพาข้าพเจ้าไปเข้ารับการผ่าตัดจี้หัวใจที่ศูนย์สิริกิติ์ขอนแก่นตามหมายนัด ส่วนลูกชายคนเล็กให้อยู่เฝ้าบ้านเนื่องจากทางศูนย์อนุญาตให้เฝ้าไข้ได้ไม่เกิน 2 คน วันนี้คุณหมอดุจดาวซึ่งเป็นนายแพทย์เจ้าของไข้ได้ชี้แจงเรื่องการผ่าตัดจี้หัวใจว่า จะฉีดยาชาที่ขาขาหนีบด้านขวา 3 เข็ม และกรีดที่ขาหนีบด้านขวาประมาณ 1 ซม.แล้วยิงเครื่องมือแพทย์เข้าไปที่หัวใจเพื่อจี้หรือช็อดตรงจุดที่ไฟฟ้าสถิตย์ในหัวใจรั่วซึมซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กระแสไฟฟ้าไหลแรงและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ หลังการจี้หัวใจตาต้องนอนพักนิ่ง ๆ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง หลังเข้าพบแพทย์แล้วข้าพเจ้าเข้าพักในห้องที่จองไว้ 1 คืน พยาบาลเข้าน้ำเกลือล่ามข้าพเจ้าไว้ตามกฎของโรงพยาบาล และเอาเครื่องมือวัดหัวใจมาจิ้มติดบริเวณหน้าอกข้าพเจ้าถึงหกแห่งจนกระดิกไปไหนไม่ได้ และแจ้งให้ทราบว่าหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไปห้ามกินอาหารและดื่มน้ำจนกว่าจะทำการผ่าตัดเสร็จในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้านอนฟังเครื่องวัดหัวใจดังป๊อก ๆ ๆ จนม่อยหลับไป พยาบาลเข้ามาตรวจไข้เป็นระยะจนสว่าง เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 26 มีนาคม 2561 เวลา 10 โมงเช้า พยาบาลเดินนำหน้าไอ้หนุ่มรถเข็นเข้ามาในห้อง ถอดเครื่องมือวัดการเต้นของหัวใจออก สั่งให้ข้าพเจ้านั่งรถเข็นไปที่ห้องผ่าตัดโดยมีภรรยาเดินตามไปห่าง ๆ ส่วนลูกชายให้อยู่เฝ้าห้อง เมื่อไปถึงห้องพักรอผ่าตัดมีเพื่อนนั่งรอสองคน ข้าพเจ้าถามคนที่นั่งข้าง ๆ ว่าหัวใจคุณเป็นอะไรหรือ เขาตอบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบหมอนัดมาทำบายพาส ข้าพเจ้านั่งสำรวมหลับตาฟังเสียงคุณหมอที่พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปได้มาก ไม่นานคุณหมอก็เรียกชื่อข้าพเจ้าไปขึ้นโต๊ะผ่าตัดซึ่งอยู่กลางห้องโถงมีผ้าสีเขียวขี้ม้าคลุมไว้ ข้าพเจ้ารู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมาทันทีจึงขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำก่อน ไอ้หนุ่มรถเข็นพาข้าพเจ้าไปขึ้นนอนบนโต๊ะผ่าตัดทันที พยาบาลแก้เสื้อข้าพเจ้าออกและสั่งให้ข้าพเจ้าแก้สายรัดหัวกางเกงออกพร้อมกับเอาผ้ายางที่มีช่องสี่เหลี่ยมสำหรับหายใจคลุมร่างข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าอดขำตัวเองไม่ได้ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้จึงพูดขึ้นดัง ๆ เพื่อแก้เซ็งว่า ..เรากำลังจะตาย พยาบาลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นว่า ตาอย่าพูดเรื่องตายสิ พวกหนูยิ่งกลัวอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจึงพูดต่อว่า แล้วเราก็จะฟื้นคืนมา ได้ยินเสียงพวกเธอหัวเราะคิกคักเบา ๆ สักครู่กางเกงโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้านุ่งอยู่ก็ถูกนักเลงดีกระตุกออกทางปลายเท้าเสียงดังควับ ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ได้ยินเสียงคุณหมอเลื่อนโต๊ะมานั่งข้าง ๆ เปิดแง้มผ้าคลุมเตียงขึ้นตรงบริวณต้นขาขวาของข้าพเจ้า คุณหมอเริ่มฉีดยาชาที่ขาหนีบด้านขวา ความเจ็บปวดหนักหนาสาหัสสุดบรรยาย ได้ยินเสียงคุณหมอเตือนเบา ๆ ว่าห้ามกระดุกกระดิกมิฉะนั้นจะถูกแทงหลายครั้ง ข้าพเจ้ากัดฟันกลั้นลมหายใจทำทีประหนึ่งว่าตายแล้ว ประมาณ 1 นาทีหลังจากนั้นคุณหมอก็เอาศอกกดที่โคนขาหนีบข้าพเจ้าอย่างแรงพร้อมกับกรีดมีดหมอ คลายกดศอกแล้วใส่เครื่องมือแพทย์เข้าหัวใจทันที ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคุณหมอดุจดาวที่นั่งข้าง ๆ ออกคำสั่งให้คุณหมอที่ควบคุมเครื่องจี้หัวใจที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามให้ทำตามเช่น กระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็ว เจอแล้ว จี้เลย และทุกครั้งที่บอกว่าจี้เลยข้าพเจ้ารู้สึกร้อนวาบที่บริเวณหัวใจทันที เมื่อจี้มาถึงจุดที่สี่คุณหมอกลับหยุดและเอ่ยถามข้าพเจ้าว่า ถึงจุดเสี่ยงห้าสิบห้าสิบแล้ว ตามีทางเลือก 2 ทางคือ 1 หยุดและกลับไปกินยาต่อเหมือนเดิม 2 จี้ต่อไป หากไม่สำเร็จหัวใจตาจะเต้นอ่อนซึ่งหมอจำเป็นต้องผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจไว้ที่หน้าอกให้ ตาจะเลือกทางไหน 1 หรือ 2 ข้าพเจ้ารีบตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า ตาขอเลือกทางที่ 1 คือหยุดจี้และกลับไปกินยาเหมือนเดิม คุณหมอถามย้ำอีกครั้งและข้าพเจ้าก็ตอบเหมือนเดิม เพราะเคยไปร่วมงานศพของเพื่อนข้าราชการเกษียณในชุมชนที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจเมื่อไม่นาน ขณะไฟกำลังไหม้ร่างของเขา เครื่องกระตุ้นหัวใจระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คุณหมอหยุดและนำเครื่องมือจี้หัวใจออกมาแล้วใช้ศอกกดขาหนีบข้าพเจ้าอย่างแรงและลงมือเย็บแผล 1 เข็มก่อนใช้สำลีซุบแอลกอฮอร์กดตรงแผลอย่างแรงไว้ตลอดเวลา ข้าพเจ้าเอ่ยปากถามคุณหมอว่า ชีวิตของตานับจากวันนี้จะเป็นอย่างไร 1. แย่กว่าเดิม 2. เท่าเดิม หรือ 3. ดีขึ้นกว่าเดิม คุณหมอตอบว่า มันเป็นหนทางที่ตาเลือกเอง แย่กว่าเดิม เท่าเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในอนาคต พลเปลเข็นข้าพเจ้าเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีคุณหมอเอามือกดตรงแผลไปตลอดทาง เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินคุณหมอทั้งกดและคลึงนานประมาณ 5 นาที อาการปวดจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณคุณหมอดุจดาวเบา ๆ พลเปลเข็นข้าพเจ้าออกจากห้องฉุกเฉิน เห็นแม่บ้านยืนยิ้มให้กำลังใจอยู่หน้าห้อง เธอเอ่ยปากถามทันทีที่เจอหน้าว่า เจ็บมากไหมตา ข้าพเจ้าครางออกมาเบา ๆ พร้อมตอบว่า เจ็บนี้คงจำไปอีกนาน เมื่อกลับมาถึงห้องมีพยาบาลยืนรออยู่สามคน พวกเธอจัดให้ข้าพเจ้านอนหงายเหยียดขาขวาและสั่งห้ามเคลื่อนไหวขาข้างขวาเป็นเวลา 6 ชั่วโมง พร้อมกับเอาเครื่องมือวัดการเต้นของหัวใจมาติดตั้งเหมือนเดิม ข้าพเจ้าได้รับความลำบากสุดแสนสาหัส ต้องนอนเยี่ยวใส่กระบอกให้แม่บ้านเอาไปเททิ้งทุก 2 ชั่วโมงเพราะโรคต่อมลูกหมากโตกำเริบ
การจี้หัวใจประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เจ็บตัวฟรี เสียเงิน เสียเวลา เสียความรู็สึก ข้าพเจ้าต้องกลับมากินยาเหมือนเดิม ถ้าวันข้างหน้าโรคหัวเต้นผิดจังหวะกำเริบขึ้นมาอีกข้าพเจ้าก็คงต้องตายเหมือนคนอื่น ๆ แต่คงไม่ตายดังเพราะไม่ได้ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
มหาบุญถึง ยืนยันหลัก กล่าวว่า…เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องที่เราสามารถบรรเทาได้ด้วยปัจจัยสี่คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค แต่ถ้าเป็นโรคที่ไม่มียาบรรเทารักษาก็ต้องเจ็บป่วยและตายไปเป็นธรรมดา
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ กล่าวให้กำลังใจว่า เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องกลาง เรื่องตะรางเรื่องเล็ก เรื่องเจ๊กไม่ยอมให้เซ็นเหล้าเป็นเรื่องแสนสาหัส เรื่องเข้าวัดเป็นเรื่องสุดท้าย เรื่องลูกสาวแม่ยายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
หลวงพ่อโกย กมโล วัดหน้าตั้ง เทศนาว่า ชีวิตคนแก่ก็เหมือนเรือแจวผุที่เต็มไปด้วยรูรั่วและรอยปะ ลอยลำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องจมลงสู่ก้นคลอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
อ้ายเชียงไล กระต่ายขาเดียว กล่าวว่า…เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด จงอย่าหยุดเสียกลางคัน
อ้ายทิดนวย เต่าสามขา กล่าวว่า ….การตัดสินใจแรกไม่ดีเสมอไป การตัดสินใจคิดใหม่ทำใหม่ครั้งต่อไปเจ๋งกว่า
ข่าวดี
ข้าพเจ้ารับยา Isoptin กลับมากินที่บ้านวันละครึ่งเม็ดนานจนลืมหลังและกลับไปพบคุณหมอดุจดาวที่ศูนย์สิริกิติ์ขอนแก่นตามใบนัดวันที่ 9 มกราคม 2562 คุณหมอตรวจดูการเต้นของหัวใจข้าพเจ้าแล้วยิ้มอย่างน่ารักพร้อมแจ้งข่าวดีให้ทราบว่า ตาหายดีแล้วนะ ให้ตาหยุดกินยา Isoptin เพื่อรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่หมอจะให้ยารักษาต่อมลูกหมากโตไปกินต่อ อีก 6 เดือน ตาค่อยกลับมาพบหมอตามใบนัด ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหาย เพราะคงทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี คิดในใจว่าคงอยู่ยาวแน่เราคราวนี้ แต่โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคทรมาณและน่ากลัวสำหรับชายแก่ทั้งหลายรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย เพราะได้เห็นเพื่อน ๆ หลายคนปัสสาวะไม่ออก ต้องให้ลูกหลานหามส่งโรงพยาบาลเพื่อให้หมอสวนลูกพี่หำด้วยสายยางทำให้ลูกพี่หำได้รับบาดเจ็บเลือดไหล และได้รับความอับอายขายหน้ามากเพราะต้องสะพายถุงเยี่ยวนั่งนอนรอความตายอยู่ที่บ้านนานหลายปี
ข้าพเจ้าพยายามกินอาหารตามที่คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ และคุณหมอทั้งหลายที่ให้คำแนะนำทางยูทูปอย่างจริงจัง ทำให้ร่างกายดีขึ้น น้ำหนักลดได้ 6 กิโล เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่พอดีก็หลุดหลวมต้องคาดเข็มขัดรัดไว้ และคงต้องทะยอยซื้อเสื้อผ้าใหม่ทดแทนเดือนละตัวสองตัวอย่างแน่นอน ส่องดูเงาตัวเองในกระจกไม่เจอ ไม่รู้ว่าเงาตัวเองหายไปไหน เห็นเพียงเงาชายแก่หัวล้านฟันหลอโผล่หน้ามายิ้มทักทายให้ได้หัวเราะเท่านั้น
เก๊าต์เทียม
เท้าข้างขวาของข้าพเจ้าบวมโดยเฉพาะส้นเท้าข้างขวาบวมและปวดหนึบ ๆ มีเจ็บร้อนแป๊บ ๆ ที่ฝ่าเท้าตลอดเวลา จึงรีบไปพบหมอที่คลินิกใกล้บ้าน คุณหมอมองดูเท้าของข้าพเจ้าแล้ววินิจฉัยทันทีว่าเป็นโรคเก๊าเทียม รักษาเหมือนเก๊าแท้ จึงให้ยาโรคเก๊าแท้มากินสองแผงบวกกับยาแก้ปวดนิดหน่อย ข้าพเจ้ากินยาเก๊าตามหมอสั่งจนหมดทั้งสองแผงแต่อาการไม่ดีขึ้น ตอนเย็นวันหนึ่งคู่เขยที่เป็นโรคเก๊าแท้มาเยี่ยม แกให้คำแนะนำเรื่องโรคเก๊าต์แท้อย่างละเอียดพร้อมรับฝากซื้อยาโรคเก๊าต์แท้จากร้านขายยาในอำเภอพังโคนมาให้จำนวนสิบชุด ๆ ละ สามเม็ด หลังได้ยาเก๊าแท้มาแล้วข้าพเจ้าจึงทดลองกินหนึ่งชุดตามคำแนะนำ ผลปรากฏว่าเพียงชุดแรกร่างกายข้าพเจ้าก็รับไม่ไหวจึงเลิกกินแต่บัดนั้น ข้าพเจ้านั่งทบทวนเหตุการณ์เกี่ยวกับส้นเท้าข้างขวาว่ามันน่าจะมีสาเหตุจริง ๆ จากอะไร ในที่สุดก็วินิจฉัยเองว่าน่าจะมาจากส้นเท้ากระแทกบันไดบ้าง เสียดสีกับพื้นต่างระดับบ้าง อื่น ๆ บ้างอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจไปซื้อนีโอบันแผ่นพลาสเตอร์บรรเทาปวดมาสี่ซอง แกะออกปิดตรงที่ปวดบวมทันที อาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับและหายในที่สุด
ผีกองก้นกล่าวว่า การจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเก๊าเทียมหรือไม่หมอที่ดีต้องเจาะเลือดไปตรวจอย่างละเอียด ถ้าเพียงถามและดูอาการของคนไข้แล้ววินิจฉัยตามอาการว่าเป็นโรคนั่นโรคนี่เพื่อขายยาเราเรียกว่าหมอตี๋
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ กล่าวว่าร่างกายคนเราเป็นรังแห่งโรค เมื่อถึงวัยชราโรคภัยไข้เจ็บจะหลั่งไหลเข้ามายึดครองและทำลายให้ผุพังไปเป็นธรรมดา เงินทองที่หาไว้ต้องจ่ายให้กับหมอยาและหมอผีหมอส่อง หมอยาก็ว่าเป็นโรคนั่นโรคนี่ หมอผีหมอส่องก็ว่าผีอยากได้นั่นอยากกินนี่ แต่อย่าลืมเก็บเงินไว้ให้ลูกเมียบ้างและที่ขาดไม่ได้คือเงินจัดงานศพและเงินทำบุญแจกข้าวให้ตัวเอง
โรคใหม่มาเยือน
ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 ข้าพเจ้าอายุ 75 ปี 4 เดือน ข้อเท้าด้านขวาบวมและปวดหนึบ ๆ ที่ฝ่าเท้า คิดในใจว่าส้นเท้าคงไปโดนอะไรมาจึงไปซื้อยาแก้ปวดบวมมานวด อาการดีขึ้นบ้างเล็กน้อยแต่ไม่หาย เจ้าของร้านขายยาบอกว่าข้าพเจ้าน่าจะเป็นโรคเก๊า จึงรีบไปหาคุณหมอที่คลีนิกใกล้บ้าน คุณหมอไม่จ่ายยาอะไรให้ เพียงแต่เขียนข้อความใส่กระดาษยื่นให้ข้าพเจ้าไปรับการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเพื่อหาค่ากรดยูริค วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ารีบไปโรงพยาบาลตามที่คุณหมอนัด ผลการตรวจเลือดออกมาค่าของกรดยูริคปกติ แต่คุณหมอบอกข้าพเจ้าว่า คุณตาเป็นโรคเก๊าเทียม วิธีรักษาเหมือนโรคเก๊าแท้ จึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปรับยากลับไปทานที่บ้านและกลับมาพบแพทย์ตามใบนัด ข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านจึงเข้าไปพบแพทย์กูเกิ้ล ได้ความรู้เรื่องโรคเก๊าแท้และเก๊าเทียมว่า มันเป็นโรคกรรมพันธ์ุรักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วก็เป็นเลย พ่อค้าแม่ค้ายาในกูเกิ้ลต่างโฆษณาแข่งกันว่ายาของฉันรักษาโรคเก๊าได้แน่นอน แต่พอคลิกดูราคามันแพงมากเหมือนยารักษาโรคต่อมลูกหมากโตที่เคยหลงเชื่อสั่งซื้อมากินตั้งสองกล่อง เสียเงินไปสองพันกว่าบาทแต่ไม่ได้เรื่องเลย แกะแคบซูลยาดูเห็นผงสีขาว เจ้าลูกชายคนโตหัวเราะงอหงายบอกว่าน่าจะเป็นแป้งมัน ดีแล้วที่พ่อไม่เป็นอะไร
เราชนะแล้ว
6 สิงหาคม พ.ศ 2563 ข้าพเจ้าอายุครบ 76 ปีพอดี ร่างกายยังแข็งแรงขุดดินดายหญ้าได้ เดินได้วิ่งได้ ยิ้มได้หัวเราะได้เหมือนคนแก่ทั่วไป แต่ต้องกินยาวันละสองครั้งคือยาหัวใจครึ่งเม็ดหลังอาหารเช้า และยาต่อมลูกหมากโตสองเม็ดก่อนนอน ข้าพเจ้าพยายามเจริญมรรคมีองค์แปดเพื่อเข้าสู่นิพพานก่อนนอนทุกคืน ทำให้สามารถเลิกเล่นการพนันทุกชนิดได้โดยเด็ดขาด ไม่แตะต้องข้องแวะ แต่ยังต้องทำหน้าที่สร้างงานสร้างอาชีพไว้ให้ลูกชายคนเล็กที่ไม่ไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการหรือหางานทำที่อื่น ร้านคาร์แคร์ปิดกิจการไปแล้วเพราะเจ้าตัวบ่นว่าเหนื่อยมากเกินไป จึงหันมาทำธุรกิจบ้านเช่า เนื่องจากตอนรับราชการครูได้ซื้อที่ดินไว้หลายแปลง บางแปลงตั้งอยู่ในชุมชนใกล้ตลาด ประกอบกับเห็นเพื่อนครูที่เกษียณหลายท่านทำธุกิจบ้านเช่าได้ตังค์ ข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงรวบรวมเงินทองสร้างห้องแถวให้เช่าปีละ 1 หลังตามกำลังทรัพย์ ขณะนี้มีห้องแถวให้เช่า 3 หลัง 12 ห้อง มอบให้ลูกชายคนเล็กบริหารจัดการเอง ระยะแรกนี้มีคนเช่าเต็มทุกห้อง เก็บค่าเช่าได้เดือนละ 24,000 บาท ข้าพเจ้าพยายามสอนให้ลูกชายคนเล็กฝึกฝนตนเองเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ส่วนแบบแปลนบ้านเช่าไปจ้างช่างโยธาของเทศบาลเขียนให้ หวังไว้ลึก ๆว่าการทำหน้าที่พ่อของข้าพเจ้าคงทำให้ลูกชายคนเล็กสามารถนำไปต่อยอด และขยายกิจการบ้านเช่าเพื่อเก็บเงินค่าเช่าเลี้ยงตัวเองและครอบครัว(ถ้าจะมี)ในวันข้างหน้าโดยไม่ลำบากมากนัก
30 เมษายน 2564 ลูกชายคนเล็กขับรถพาไปรับการตรวจเลือดที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ จังหวัดขอนแก่น เราไปกันสองคนพ่อลูก ออกจากบ้านเวลาตี 3 ครึ่ง ถึงศูนย์หัวใจสิริกิติ์ จังหวัดขอนแก่นเวลา 7 โมงเช้า เข้ารายงานตัว รับบริการตรวจคลื่นหัวใจและเจาะเลือด ลงไปรับประทานอาหารที่แคนทีนข้างล่าง เข้ารับการตรวจ คุณหมอแจ้งผลการตรวจเลือดว่า ดีใจด้วยนะตา หัวใจเต้นปกติ ความดันปกติ ไม่เป็นโรคเก๊า ไม่เป็นเบาหวาน แต่ยังคงเขียนใบสั่งให้ไปรับยาโรคหัวใจและยาต่อมลูกหมากโตเหมือนเดิม ออกจากห้องตรวจมารับใบนัดหมายพบแพทย์ครั้งต่อไปวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 เวลา 08.00 น.
(ยังมีต่อ)
ตามหานิพพาน
ก่อนนอนทุกคืนข้าพเจ้าจะพยายามนึกทบทวนทางไปนิพพานเสมอ ซึ่งเพียงนึกถึงและทบทวนทางไปนิพพานได้ไม่นานนัก ภาพพระสงฆ์จำนวนมากจะปรากฏในใจ และใจก็จะเริ่มสงบร่มเย็นและเป็นสุข ข้าพเจ้าได้นำเอาเรื่อง ทางไปนิพพานที่เขียนไว้มาลงในเรื่องเกี่ยวกับพ่อครู 6 ด้วยความตั้งใจว่าจะให้เป็นบทสุดท้ายก่อนที่ข้าพเจ้าจะจากโลกนี้ไป ข้าพเจ้าอาจจะยังไม่ถึงนิพพานในขณะนี้ แต่บางทีข้าพเจ้าอาจถึงนิพพานได้พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิตก็ได้
……………………………………….
นิพพานอยู่ใกล้แค่ปลายมือ
…………………………………….
บวชแต่เด็ก เล่าเรียน ฝึกเขียนอ่าน
หลายปีผ่าน พ้นไป ไม่ท้อถอย
เป็นมหา เปรียญดั่ง ตั้งตาคอย
จึงมุ่งสอย ปริญญา วิชาการ
เข้าศึกษา มหาลัย ในทางสงฆ์
ญาติโยมส่ง ข้าวปลา น้ำอาหาร
บำเพ็ญบุญ หนุนปัจจัย ให้เป็นทาน
เรียนจบผ่าน ปริญญา วิชาการ
มีความรู้ กว้างขวาง ไม่หยั่งลึก
รู้เพียงนึก นี่นู้น โน้นและนั่น
สุขกับทุกข์ หมุนเวียน เปลี่ยนทุกวัน
เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ มีแต่เซ็ง
ความอยากมี อยากเป็น ยังคงอยู่
ความหดหู่ ท้อถอย คอยข่มเหง
ตัณหาเถื่อน กิเลสถ่อย คอยบรรเลง
เสียงพิณเพลง ยังเสนาะ เพราะจับใจ
แม้มุ่งมั่น ฝึกจิต ให้ผ่องผุด
แต่จิตมุด รั้ววัดไป ไหนต่อไหน
ถ้าขืนบวช ติดต่อ ก็บรรลัย
สึกตามใจ แล้วบวชอีก ก็ยังทัน
นิพพานคือ เป้าหมาย ยังไม่ถึง
สักวันหนึ่ง กลับบวชใหม่ ไม่เหหัน
คงบรรลุ นิพพานได้ ในสักวัน
ตอนนี้ฉัน สึกไปก่อน ตอนมีแรง
จึงสึกมา หางานทำ เลี้ยงชีวิต
สุจริต นำทาง อย่างเข้มแข็ง
ได้คู่ครอง ต้องใจ ช่วยจัดแจง
ช่วยเบาแบ่ง ภาระงาน ให้บรรเทา
มีลูกหลาน เพิ่มมา เป็นภาระ
ยากที่จะ ตัดใจ จากพวกเขา
ความผูกพัน ร้อยรัด มัดใจเรา
จนแก่เฒ่า ป่วยไข้ ใกล้เข้าโลง
ไม่บวชกาย แต่ใจบวช มานานแล้ว
เป็นเฒ่าแนว ลดละ โลภโกรธหลง
กำหนดรู้ ซึ่งทุกข์ สุขดำรงค์
ถีบถองส่ง ซึ่งความอยาก ออกจากใจ
พอความอยาก หมดไป ก็คลายทุกข์
เกิดความสุข เรืองรอง จิตผ่องใส
เผลอนิดเดียว ความอยากกลับ ทับถมใจ
จิตเคยใส เศร้าหมอง เข้าครองแทน
แต่ละวัน วนเวียน อยู่อย่างนี้
หลายสิบปี ที่บาศก์บ่วง ความหวงแหน
ผูกรัดคอ มัดศอกไว้ ไม่คลอนแคลน
มันสุดแสน ยากจะหลุด สุดดึงดัน
อยากจะถ่อ สังขาร ออกไปบวช
เพื่อละโกรธ โลภหลง ในสงสาร
เพื่อก้าวเดิน บนเส้นทาง สู่นิพพาน
แต่สังขาร สึกหรอ สุดถ่อพาย
นั่งเหม่อมอง ตรองดู กูหรือนี่
ก่อนเคยมี ความฝัน อันสดใส
จะเข้าสู่ นิพพาน อันอำไพ
ก้าวเดินไป ตามรอยบาท พระศาสดา
บวชเป็นสงฆ์ ทรงศีล สิ้นกิเลส
ถือครองเพศ พรหมจรรย์ จิตหรรษา
จาริกไป สอนธรรม นำประชา
ตราบชีวา ดับดิ้น สิ้นลมปราณ
แต่บัดนี้ มีเพียงร่าง ของชายแก่
ใต้รักแร้ มีไม้ค้ำ ถ่อสังขาร
เขม้นมอง จ้องทาง สู่นิพพาน
อีกไม่นาน ต้องลาลับ ดับชีพลง
วางไม้เท้า กราบก้ม ประนมนึก
น้อมระลึก หลักธรรม ตามประสงค์
คำสั่งเสีย สุดท้าย พุทธองค์
ที่ให้สงฆ์ ทั้งหมด จดจำกัน
ว่าตราบใด ยังมีผู้ เดินตามมรรค
โลกนี้จัก ไม่ว่าง อรหันต์
แสงสว่าง ส่องใจ ในฉับพลัน
เห็นนิพพาน อยู่ใกล้ แค่ปลายมือ
…………………….
เมื่อ 2630 ปีที่แล้ว พระนางสิริมหามายาซึ่งเป็นพระมเหสีของพระจ้าสุทโธทนะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดีย ได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง พออายุได้ 7 วัน พระราชบิดาได้จัดงานทำบุญตั้งชื่อให้พระราชโอรสโดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมารับไทยทาน พราหมณ์ 108 คน ตั้งชื่อพระราชโอรสว่า สิทธัตถะ ในขณะเดียวกันพราหมณ์ที่ทำนายลักษณะแม่นยำที่สุดจำนวน 5 คนได้รับเลือกให้เป็นผู้ทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ 4 คนทำนายว่า ถ้าสิทธัตถะอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าสิทธัตถะออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
แต่มีพราหมณ์ 1 คนชื่อโกณทัญญะทำนายว่า สิทธัตถะจะได้ออกบวชและได้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
สิทธัตถะออกบวชเมื่อพระชนมายุได้ 29 พรรษา เพราะต้องการพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นความทุกข์ที่มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้น เมื่อออกบวชแล้วได้แสวงหาทางพ้นทุกข์ตามความเชื่อของศาสนาในสมัยนั้นที่สอนว่า ถ้าผู้ใดบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยการทรมานตนเองจนถึงที่สุด พระเจ้าจะลงมาช่วยดลบันดาลให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการ พระองค์บำเพ็ญทุกกรกิริยาด้วยการทรมานตนเองอย่างถึงที่สุดหลายวิธีเช่น อดข้าว อดน้ำ จนพระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กลั้นลมหายเข้าออกจนลมออกหูเป็นต้น โดยมีพราหมณ์ทั้ง 5 ที่เคยได้รับเชิญให้ทำนายลักษณะของพระองค์คอยเฝ้าอุปัฏฐากด้วยความหวังว่า เมื่อสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะได้รับคำสอนเป็นกลุ่มแรก
พระองค์ทรมานตนเองอยู่นานถึง 6 ปี แต่พระเจ้าก็ไม่มาช่วยตามที่สอนไว้ พระองค์เห็นว่าความมีอยู่ของพระเจ้าเป็นเพียงความฝันของมนุษย์เท่านั้น และทุกกรกิริยาไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เพราะยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งมีทุกข์มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อกายเป็นทุกข์ จิตใจก็กระวนกระวายและเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน หากขืนบำเพ็ญทุกกรกิริยาต่อไปก็อาจตายเปล่าได้ จึงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา หันมาฉันพระกระยาหารดังเดิม
ปัญจวัคคีพราหมณ์ที่เฝ้าอุปัฏฐากพระองค์ลงความเห็นว่า สิทธัตถะละความเพียรเวียนมาซึ่งความมักมาก คงไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ดั่งคำทำนาย จึงพากันหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ทิ้งให้สิทธัตถะอยู่ตามลำพัง
เมื่อสิทธัตถะอยู่ตามลำพัง จิตใจก็ปลอดโปร่ง จึงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางใจ นานเท่าไรไม่ปรากฏจนกระทั้งถึงเช้าวันเพ็ญเดือน 6 พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายแก้บน ทำให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ตอนบ่ายโสตถิยะพราหมณ์แบกหญ้าคาที่เกี่ยวได้ประมาณ 10 กำ เดินผ่านมาเห็นพระองค์นั่งอยู่ จึงนำหญ้าคามาถวาย 1 กำ ตอนเย็นพระองค์สรงน้ำชำระพระวรกายให้สะอาด ทำให้ร่างกายสดชื่น จิตใจปลอดโปร่ง
ตอนค่ำพระองค์นำหญ้าคามาปูใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จขึ้นประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ตั้งอธิษฐานว่า ถ้าไม่พบทางพ้นทุกข์จะไม่ลุกจากที่นั่งทั้งคืน พระองค์นั่งสมาธิทำใจให้สงบ เมื่อใจสงบแล้วก็มุ่งพิจารณาหาทางพ้นทุกข์ พระองค์ได้ค้นพบทางพ้นทุกข์และพ้นจากความทุกข์เมื่อเวลาฟ้าสาง
เรียกการค้นพบทางดับทุกข์และการพ้นทุกข์นี้ว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าหมายถึงผู้ตื่นแล้ว คือตื่นจากความหลับใหลไปกับตัณหาความทะยานอยาก)
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจสี่หรือความจริงที่แท้จริง 4 ประการ ได้แก่
1. ทุกข์ คือรู้ว่าทุกข์คือความไม่สบายกาย และความไม่สบายใจ
2. สมุทัย คือรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์
3. นิโรธ คือการดับทุกข์
4. มรรค คือทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์
คำถามมีว่า
1. ตรัสรู้คืออะไร ?
ตอบ ตรัสรู้คือรู้ความจริงที่แท้จริง 4 ประการอย่างแจ้งชัดด้วยพระองค์เองได้แก่
1. รู้ทุกข์ คือรู้ว่าความทุกข์คือความไม่สบายกายและความไม่สบายใจ
2. รู้สมุทัยคือรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
3. รู้นิโรธ คือรู้การดับทุกข์
4. รู้มรรค คือรู้ทางดำเนินไปถึงซึ่งการดับทุกข์
2. รู้ทุกข์คือรู้อย่างไร ?
ตอบ รู้ทุกข์คือรู้ว่าความทุกข์คือความไม่สบาย มี 2 อย่าง คือ
1. ทุกข์กาย ได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การหิว กระหาย เหนื่อย ร้อน หนาวฯลฯ ทุกข์กายนั้นเป็นสภาวะทุกข์หรือทุกข์ธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถหนีพ้นทุกข์ทางกายได้ตราบใดที่ยังมีกาย
2. ทุกข์ใจ ทุกข์ใจเป็นโคจรทุกข์หรือทุกข์ที่โคจรมาเช่น โลภ อยากได้ โกรธ โมโห อาฆาต พยาบาท ฯลฯ หลง มัวเมา ฯลฯ เราสามารถหนีพ้นจากทุกข์ทางใจได้
3. รู้สมุทัย คือรู้สาเหตุทำให้เกิดทุกข์คือรู้อย่างไร ?
ตอบ คือรู้ว่าตัณหาเป็นสาเหตุทำให้เกิดความทุกข์
4. ตัณหาคืออะไรและทำไมมนุษย์เราจึงมีตัณหา ?
ตอบ ตัณหาคือความทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด มี 3 อย่าง คือ 1. กามตัณหา ความอยากมี 2. ภวตัณหา ความอยากเป็น 3. วิภวตัณหา ความอยากไม่มีและความอยากไม่เป็น
เหตุที่มนุษย์เรามีตัณหาเพราะจิตคิดปรุงแต่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณ์ ที่มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ว่า รูปนั้นสวยน่ารัก น่าปรารถนา หรือไม่สวย น่าเกลียด น่ากลัว น่าขยะแขยง ไม่น่าปรารถนา รสนั้นอร่อย น่าดื่ม น่ากิน หรือไม่อร่อย ไม่น่าปรารถนา กลิ่นนั้นหอม น่าดม น่าปรารถนา หรือเหม็น น่าสะอิดสะเอียน ไม่น่าปรารถนา เสียงนั้นไพเราะน่าปรารถนา หรือไม่ไพเราะ ไม่น่าปรารถนา สัมผัสนั้นนุ่มนวลชวนฝันน่าปรารถนา หรือไม่น่าปรารถนา อารมณ์ที่มากระทบกับใจ หรืออาการที่ใจคิดไปเองนั้นน่ารักน่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา
เมื่อจิตคิดปรุงแต่งว่าน่าปรารถนาและเสวยอารมณ์ที่เกิดจากการปรุงแต่งนั้น กามตัณหา ความอยากมี และภวตัณหา ความอยากเป็นก็จะเกิดขึ้นครอบงำจิต ทำให้จิตขุ่นมัวและเป็นทุกข์ ถ้าจิตคิดปรุงแต่งว่า น่าเกลียด น่ากลัว น่าขยะแขยง ไม่น่าปรารถนา วิภวตัณหา ความอยากไม่มี ความอยากไม่เป็นก็จะเกิดขึ้นครอบงำจิต ทำให้จิตกระวนกระวาย ขุ่นมัวและเป็นทุกข์
ถามว่า…ทำไมจิตจึงคิดปรุงแต่ง?
ตอบว่า…เพราะจิตถูกอวิชชาคือความไม่รู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ ที่มากระทบกับจิต ทำให้จิตคิดปรุงแต่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์เหล่านั้นว่าดีว่าร้ายแล้วเสวยอารมณ์ที่ปรุงแต่งนั้นและเป็นทุกข์ ซึ่งมีลำดับขั้นตอนของการเกิดทุกข์ตามหลักปฏิจสมุปบาท 12 ประการดังนี้
- อวิชชา(ความไม่รู้)เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร(การปรุงแต่ง)
2. สังขารการ(การปรุงแต่ง)เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ(ความรู้สึก)
3. วิญญาณ(ความรู้สึก)เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป(ชื่อและตัวตน/ตัวกู)
4. นามรูป(ชื่อและตัวตน/ตัวกู)เป็นปัจจัยให้เกิดฉะฬายะตะนะ(อายตะนะหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)
5. ฉะฬายะตะนะ(อายตะนะหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ(การสัมผัสแตะต้อง)
6. ผัสสะ(การสัมผัสแตะต้อง)เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา(การเสวยอารมณ์สุข ทุกข์)
7. เวทนา(การเสวยอารมณ์สุข ทุกข์)เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก/ความอยากไม่สิ้นสุด)
8. ตัณหา(ความทะยานอยาก/ความอยากไม่สิ้นสุด)เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)
9. อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)เป็นปัจจัยให้เกิดภพ(ความมีความเป็น)
10. ภพ(ความมีความเป็น)เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ(การเกิด)
11. ชาติ(การเกิด)เป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะ (ความแก่และความตาย)
12. ชรามรณะ(ความแก่และความตาย)เป็นปัจจัยให้เกิดทุกขโทมนัสสุปายาสะ(ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้นใจ)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า..ปุนัปปุนัง ชาติ ทุกขัง แปลว่าการเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ การเกิดในความหมายนี้หมายถึงการเกิดอวิชชา(ความไม่รู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ ที่จรมากระทบกับใจ ทำให้ใจคิดปรุงแต่งสิ่งจรมาเหล่านั้นว่าดีว่าร้ายแล้วเสวยอารมณ์ที่ใจคิดปรุงแต่งนั้นทำให้เกิดความทุกข์ ) แต่ละวันอวิชชาเกิดครอบงำใจเราหลายร้อยครั้ง ซึ่งทำให้ใจของเราปรุงแต่งและเสวยอารมณ์เกิดเป็นนั่นเป็นนี่ได้หลายภพหลายชาติตามความอยาก(ตัณหา)เช่นเกิดเป็นยักษ์ มาร ผีสาง เทวดา คน สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น หาได้หมายถึงปฏิสนธิคือการเกิดจากท้องแม่แต่ประการใดไม่ เมื่อเราดับอวิชชาได้ สังขาร วิญญาณ นามรูป สะฬายะตะนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ทุกขะโทมนัสสุปายาสก็จะดับไปทั้งหมด จิตก็จะเข้าถึงนิพพาน
ถามว่า…อวิชชา/ความไม่รู้เท่าทันเกิดจากอะไร
ตอบว่า…อวิชชา/ความไม่รู้เท่าทันเกิดจากการที่ใจขาดสติคอยควบคุมกำกับดูแล ซึ่งทำให้ใจเผลอนึกคิดปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและอารมณ์ที่จรมากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจว่าดีว่าร้าย อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป สะฬายะตะนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ทุกขะโทมนัสสุปายาส
ถามว่า…ทำอย่างไรจึงจะดับอวิชชาได้
ตอบว่า… ให้เดินตามมรรคมีองค์แปดประการซึ่งเป็นทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์ได้แก่ 1. สัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ) 2. สัมมาสังกับปะ(ดำริชอบ) 3. สัมมาวาจา(พูดชอบ) 4. สัมมากัมมันตะ(การงานชอบ) 5. สัมมาอาชีวะ(อาชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ(พยายามชอบ) 7. สัมมาสติ(ระลึกชอบ) และ 8. สัมมาสมาธิ(ตั้งใจชอบ)
5. รู้นิโรธ หรือการดับทุกข์คือรู้อย่างไร?
ตอบ คือรู้แจ้งชัดว่าเมื่อกำจัดอวิชชา(ความไม่รู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ ที่จรมากระทบกับจิต ทำให้จิตคิดปรุงแต่งสิ่งจรมาเหล่านั้นว่าดีว่าร้ายแล้วเสวยอารมณ์ที่จิตคิดปรุงแต่งนั้นและเป็นทุกข์ ))ให้หมดไปแล้วตัณหาคือความทะยานอยาก 3 ประการได้แก่ กามตัณหา ความอยากมี ภวตัณหา ความอยากเป็น และวิภวตัณหา ความอยากไม่มีความอยากไม่เป็น ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ก็จะดับไป
6. รู้มรรค คือทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์ คือรู้อะไรและรู้อย่างไร ?
ตอบ คือรู้ว่ามรรคมีองค์แปดประการเป็นทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์ได้จริง ถ้าจะดับทุกข์ต้องดับอวิชชา ถ้าดับอวิชชาได้ ตัณหาก็ดับ ทุกข์ก็ดับ การดับอวิชชานั้นต้องเจริญมรรคมีองค์แปดประการ การเจริญมรรคมีองค์แปดประการคือการทำให้มีมรรคมีองค์แปดประการนั้นไว้ในใจสม่ำเสมอตลอดเวลา มรรคมีองค์แปดประการได้แก่
1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
2. สัมมาสังกับปะ ดำหริชอบ
7. สัมมาทิฎฐิ เห็นชอบคือเห็นอะไร และเห็นอย่างไร ?
ตอบ คือเห็น 8 อย่าง ได้แก่
1. เห็นว่าความทุกข์นั้นมีจริง
2. เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้
3. เห็นว่าตัณหา คือความทะยานอยากเป็นสาเหตุทำให้เกิดความทุกข์ได้จริง
4. เห็นว่าตัณหาคือความทะยานอยากนั้นควรกำหนดละ
5. เห็นว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นดับได้จริง
6. เห็นว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นควรทำให้แจ้ง
7. เห็นว่ามรรคมีองค์แปดนั้นเป็นทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์ได้จริง
8. เห็นว่ามรรคมีองค์แปดนั้นควรเจริญคือทำให้มีในใจตลอดเวลา
8. สัมมาสังกัปปะ ดำหริชอบคือดำหริอะไร และดำหริอย่างไร ?
ตอบ คือดำหริหรือนึกคิด 8 เรื่อง ได้แก่
1. นึกคิดเสมอว่าความทุกข์นั้นมีจริง
2. นึกคิดเสมอว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้
3. นึกคิดเสมอว่าตัณหา คือความทะยานอยากเป็นสาเหตุทำให้เกิดความทุกข์ได้จริง
4. นึกคิดเสมอว่าว่าตัณหาคือความทะยานอยากนั้นควรกำหนดละ
5. นึกคิดเสมอว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นดับได้จริง
6. นึกคิดเสมอว่าการดับทุกข์นั้นควรทำให้แจ้ง
7. นึกคิดเสมอว่ามรรคมีองค์แปดนั้นเป็นทางดำเนินไปถึงการดับทุกข์ได้จริง
8. นึกคิดเสมอว่ามรรคมีองค์แปดนั้นควรเจริญคือทำให้มีในใจตลอดเวลา
ปฏิบัติข้อ 1 และข้อ 2 เพื่อปรับความเห็นและความคิดให้ถูกต้อง ในเรื่องการกำจัดอวิชชา กำหนดรู้ทุกข์ กำหนดละตัณหาซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ และการเจริญมรรคเพื่อดับทุกข์
3. สัมมาวาจา วาจาชอบ หมายถึงการปรับคำพูดให้ไพเราะ เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น
4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ หมายถึงทำการงานที่ไม่มีโทษ ไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ หมายถึงการประกอบอาชีพที่สุจริตไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง เพื่อแสวงหาปัจจัย 4 ได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค มาเลี้ยงชีวิตของตนและคนที่เกี่ยวข้องให้ยืนยาวต่อไปจนตลอดอายุขัย ซึ่งจะทำให้ความทุกข์บรรเทาลงไปได้ในระดับหนึ่ง
ปฏิบัติ ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 เพื่อทำให้กายวาจาสงบ และเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือพยายามทำตาม 5 ข้อที่กล่าวแล้วเพื่อบรรเทาความทุกข์ทางกายและพยายามทำตามมรรคข้อ 7 และข้อ 8 เพื่อละตัณหาคือความทะยานอยากซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ทางใจ
7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือตั้งสติมั่นไม่เผลอให้อวิชชาเกิดขึ้นครอบงำใจ
8. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ คือเจริญสมาธิเพื่อกำหนดรู้ทุกข์ กำหนดละตัณหา และทำการดับทุกข์ให้แจ้ง
สิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยอาการ 12 ประการคือ
1. รู้ว่าความทุกข์นั้นมีอยู่จริง
2. รู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้
3. รู้ว่าความทุกข์นั้นเรากำหนดรู้แล้ว
4. รู้ว่าตัณหาคือความทะยานอยากเป็นสาเหตุทำให้เกิดความทุกข์จริง
5. รู้ว่าตัณหาคือความทะยานอยากนั้นเป็นสิ่งที่ควรกำหนดละ
6. รู้ว่าตัณหาคือความทะยานอยากนั้นเรากำหนดละได้แล้ว
7. รู้ว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นดับได้จริง
8. รู้ว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง
9. รู้ว่านิโรธคือการดับทุกข์นั้นเราทำให้แจ้งแล้ว
10. รู้ว่ามรรคมีองค์แปดประการนั้นเป็นทางดำเนินไปถึงซึ่งการดับทุกข์ได้จริง
11. รู้ว่ามรรคมีองค์แปดประการนั้นเป็นสิ่งที่ควรเจริญ
12. รู้ว่ามรรคมีองค์แปดนั้นเราเจริญแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกคนมีพุทธคือองค์ความรู้ในใจพร้อมที่จะบรรลุนิพพาน เพียงแต่วิธีการบรรลุนิพพานหรือการดับทุกข์นั้นอาจจะแตกต่างกันเช่น บางคนบรรลุนิพพานได้ด้วยการฟัง บางคนบรรลุนิพพานได้ด้วยการพูดให้คนอื่นฟัง บางคนบรรลุนิพพานได้ด้วยการสนทนาธรรม บางคนบรรลุนิพพานได้ด้วยการภาวนาคือการทำให้เกิดปัญญา
สรุปทางไปนิพพาน………….ผู้ประสงค์จะไปนิพพานให้ทำ 3 อย่างคือ 1. ให้ทาน เพื่อกำจัดความตระหนี่ และทำให้ใจแกล้วกล้าเบิกบาน 2. รักษาศีล เพื่อทำให้กายและวาจาสงบ 3. เจริญสัมมาสมาธิภาวนา เพื่อดับอวิชชา เมื่อใจไม่เผลออวิชชาก็ไม่เกิด เมื่ออวิชชาไม่เกิดตัณหาคือความอยากก็ดับ เมื่อตัณหาดับกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานก็จะนอนต่อไป ไม่ฟุ้งกระจายขึ้นมารบกวนทำให้ใจฟุ้งซ่านขุ่นมัว เมื่อใจไม่ฟุ้งซ่านขุ่นมัววิชชาหรือปัญญาความรู้เท่าทันรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและอารมณ์ที่มากระทบกับตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เกิดและส่องทางให้เราสามารถกำหนดรู้ทุกข์ กำหนดละตัณหา และดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง อุปมาเหมือนเปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงาย เปิดไฟในที่มืด ผู้ที่สามารถฝึกฝนตนเองได้ถึงขั้นนี้เรียกว่าเป็นพระอรหันต์คือผู้ห่างไกลจากกิเลส ส่วนผู้ที่สามารถค้นพบความจริงที่แท้จริง 4 ประการคือ รู้ทุกข์ รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้การดับทุกข์ และรู้ทางดับทุกข์ เป็นคนแรกเรียกว่า พระพุทธเจ้า และเรียกการค้นพบนี้ว่าการตรัสรู้ เรียกผู้ที่ฝึกฝนตนเองได้ถึงขั้นนี้ว่า ผู้บรรลุอรหันต์ แปลว่าผู้ห่างไกลจากกิเลส หรือผู้บรรลุนิพพาน แปลว่าผู้ดับกิเลสได้แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นิพพานัง ปะระมัง สูญญัง แปลว่า นิพพานว่างอย่างยิ่ง คือว่างจากกิเลสเครื่องทำให้ใจเศร้าหมองทั้งหลายนั่นเอง และตรัสอีกว่า นิพพานัง ปะระมัง สุขัง แปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขเพราะไม่มีกิเลสเครื่องทำให้ใจเศร้าหมองมาครอบงำ
ตัวอย่าง
ในครั้งพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า จึงบริจาคทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้เป็นทาน แล้วออกบวชเป็นพระ หนึ่งเดือนแรกปฏิบัติธรรมอยู่กับพระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นพระวินัยธร (ผู้ปฏิบัติวินัยอย่างเคร่งครัด) พระอุปัชฌาย์คอยสั่งสอนให้รักษาศีลของพระ จำนวน 227 ข้ออย่างเคร่งครัด อย่าให้ขาดแม้แต่ข้อเดียว พระรูปนั้นปฏิบัติตามได้ 1 เดือนก็ยังไม่บรรลุอรหันต์ จิตใจก็เป็นกังวลและเป็นทุกข์มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและคิดจะลาสึก แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีพระอาจารย์อีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์(พระผู้สวดให้ตอนบวช) พระอาจารย์รูปนี้เป็นพระธรรมธร (ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด) จึงไปศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเป็นเวลา 1 เดือน ท่านสอนว่า เธอไม่ต้องไปสนใจเรื่องวินัย เพราะไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ ให้เธอศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเดียวก็พอ พระรูปนั้นจึงท่องจำธรรมซึ่งมีมากถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์(หัวข้อ) ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ครบหนึ่งเดือนก็ยังไม่บรรลุอรหันต์ จิตใจก็เป็นกังวลและเป็นทุกข์มากเหมือนเดิม จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อลาสึก พระองค์เทศนาโปรดพระรูปนั้นว่า เธอไม่ต้องรักษาศีล ไม่ต้องท่องบ่นธรรม ให้เธอรักษาจิตของเธออย่างเดียว โดยการใช้สติคอยกำกับจิตไม่ให้จิตคิดปรุงแต่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ว่าดี ว่าร้าย เมื่อมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและอารมณ์มากระทบก็ให้จิตรับรู้ว่าเป็น ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น หนึ่งเดือนผ่านไปพระรูปนั้นได้บรรลุอรหันต์ คือใจหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสเครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง ….ยังมีตัวอย่างอื่นอีกมากมายในทำนองเดียวกันนี้ให้เราได้ศึกษาและปฏิบัติตาม
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ กล่าวว่า อยากไปสวรรค์ให้ทำบุญทำทาน อยากไปนิพพานให้ทำใจ