เขียนจากความว่างเปล่า
……………………………
กลอนที่ 1
นิพพานอยู่ที่ไหน
……………………………
นิพพานอยู่ ที่ไหน ก็ไม่รู้
มึนงงอยู่ ในใจ ไม่จางหาย
บางท่านชี้ ว่านิพพาน อยู่แดนไกล
เป็นเมืองใหญ่ ไร้ทุกข์ สุขสบาย
ไม่มีเกิด แก่เจ็บตาย ในเมืองนั้น
สารพัน สุขสม อารมณ์หมาย
ได้มีเป็น เช่นที่หวัง ทุกอย่างไป
สุขสบาย เป็นนิจ นิรันดร
แต่จะไป นิพพาน นั้นเรื่องยาก
ต้องลำบาก ทำความดี เอาไว้ก่อน
หลายแสนชาติ ทำดีไว้ ไม่ขาดตอน
ดีจะย้อน ส่งทางให้ ไปนิพพาน
บางท่านว่า ไปนิพพาน นั้นง่ายมาก
ทิ้งความอยาก ก็จะถึง ซึ่งฝั่งฝัน
ถึงนิพพาน ปุ๊บปั๊บ โดยฉับพลัน
จะให้ฉัน เชื่อใครเล่า ไม่เข้าใจ
เชื่อท่านแรก ทางไกล หลายแสนชาติ
บางทีอาจ ไปไม่ถึง ซึ่งจุดหมาย
เพราะทางไกล อุปสรรค มีมากมาย
โอกาสไป ถึงนิพพาน นั้นลางเลือน
ถ้าเชื่อท่าน ที่สอง ตรองดูง่าย
แต่จะใช่ นิพพานแน่ หรือแค่เหมือน
อาจเป็นเพียง พูดเล่น ให้เลอะเลือน
พูดกลบเกลื่อน นิพพานให้ ดูง่ายดาย
จึงทำตาม ท่านทั้งสอง ลองดูก่อน
เช้าตื่นนอน ใส่บาตรพระ ให้ใจใส
ออกจากบ้าน หว่านรักให้ ใครต่อใคร
อยู่บ้านไซร้ ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน
ก่อนจะหลับ นับนึก ถึงธรรมะ
ลดเลิกละ ความอยาก ความใฝ่ฝัน
ทุกข์หดหาย มลายไป ได้เหมือนกัน
นอนหลับฝัน อบอุ่น ไม่วุ่นวาย
แต่ละวัน วนเวียน อยู่อย่างนี้
หลายสิบปี มีสุข ทุกข์เหือดหาย
มีปัญหา แก้สนุก ไม่ทุกข์ใจ
ส่วนทุกข์กาย มีบ้าง ก็ช่างมัน
ถึงนิพพาน หรือไม่ ก็ไม่รู้
ความสุขอยู่ ที่ใจ เลิกใฝ่ฝัน
ความอยากลด ปลดทุกข์ ได้ฉับพลัน
ส่วนนิพพาน อยู่ใหน ไม่สำคัญ
……………………
กลอนที่ 2
เกือบพลาด
……………………
บวชแต่เด็ก จนถึงวัย ใกล้จบเห่
ธุดงค์เร่ ร่อนไป ในทุกหน
ไปทุกถิ่น ที่มี หมู่บ้านคน
เพื่อหาหน ทางสู่ พระนิพพาน
ค่ำปักกลด กันเหลือบ ไรยุงริ้น
ที่โฉบบิน ไปมา หาอาหาร
อยากสละ เลือดกาย ให้เป็นทาน
แต่นิพพาน ที่วาดหวัง ยังห่างไกล
จำเป็นต้อง ป้องกาย เอาไว้ก่อน
เข้าพักผ่อน นอนหลับ สลบไสล
กายเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า สักเพียงใด
ไม่เหนื่อยใจ เท่าเหินห่าง ทางนิพพาน
พอตกดึก ฝึกจิต คิดหน้าหลัง
สติสตังค์ เตลิดไป ไม่ประสาน
จิตยังคง หมุนเวียน เปลี่ยนทุกวัน
ไม่ตั้งมั่น ในหลักธรรม พระสัมมา
คิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ ไม่มีหยุด
เรื่องนั้นหลุด เรื่องนี้ยัง มีกังขา
เรื่องนั้นผ่าน เรื่องนี้ยัง มีค้างคา
เพราะตัณหา กิเลสถ่อย คอยบงการ
ยกธงขาว ยอมแพ้ แล้วขอรับ
ไข้ใจจับ หม่นหมอง ครองสังขาร
นั่งจับเจ่า เฝ้าทน ทรมาณ
เคยเบิกบาน ห่อเหี่ยว โดดเดียวดาย
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย
พลิกขวาซ้าย ไปมา หาจุดหมาย
คนเราถือ กำเหนิด เกิดทำไม
เกิดเพื่อใคร เพื่ออะไร หรือเพื่อตน
พ่อกับแม่ ละสังขาร ไปนานแล้ว
ไร้วี่แวว หาไม่เห็น ทุกแห่งหน
เดินตามหา พระนิพพาน นานสุดทน
เดินจวบจน ทั่วแผ่นดิน จวนสิ้นใจ
ตัดสินใจ เดินทาง กลับคืนวัด
เก็บกลดมัด มุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว
ก้มหน้าเดิน ก้าวยาว สาวเท้าไว
เดินตามใจ คืนวัน ไม่พรั่นพรึง
เดินถึงวัด ในเวลา ไม่ช้านัก
เข้าผ่อนพัก ในทันที ที่มาถึง
สงบกาย สงบจิต คิดคำนึง
เกิดซาบซึ้ง ในหลักธรรม พระสัมมา
ที่สอนให้ กำหนดรู้ ซึ่งความทุกข์
จะพบสุข เมื่อละได้ ซึ่งตัณหา
ลาภยศสุข สรรเสริญ และเงินตรา
เป็นมายา ภาพลวงให้ อยากได้มัน
นิพพานอยู่ ที่ใจ ไม่ไขว่คว้า
ละตัณหา เสียได้ เลิกใฝ่ฝัน
ความตั้งใจ สึกหาย ไปฉับพลัน
พรุ่งนี้ฉัน ธุดงค์ต่อ ก็ยังทัน
จึงกลับตัว กลับใจ ไม่สึกแล้ว
เป็นพระแนว ธุดงค์ไป ดังใฝ่ฝัน
มุ่งหน้าเดิน สู่ทาง เข้านิพพาน
เพื่อสืบสาน ศาสนา ให้ถาวร
จะถึงธรรม ขั้นไหน ก็ช่างเถอะ
ขอเพียงเจอะ หลักธรรม คำสั่งสอน
ละตัณหา สาเหตุทุกข์ ได้ถาวร
นั่งยืนนอน สุขสงบ พบนิพพาน
……………………
กลอนที่ 3
สำคัญผิด
……………………
บวชเป็นพระ ปฏิบัติ อยู่วัดป่า
ด้วยหวังว่า จะถึงซึ่ง อรหันต์
นั่งสมาธิ ฝึกจิต พิชิตมาร
หลายปีผ่าน กิเลสหาย สบายตัว
ทั้งความโลภ โกรธหลง ปลงได้หมด
จิตหมดจด สดใส ไม่สลัว
กิเลสหลุด ห่างหาย ไม่ติดตัว
คิดว่าชัวร์ อรหันต์ แล้ววันนี้
นึกกระหยิ่ม ยิ้มย่อง ว่าถึงแล้ว
เป็นพระแนว นอนใน ป่าช้าผี
เฝ้าโลงผุ เหินห่าง ทางโลกีย์
ตัวฉันนี้ อรหันต์ มันน้อยไป
แต่พอเข้า ในเมือง ชักเรื่องยุ่ง
เห็นสาวกรุง นุ่งสั้น นึกหวั่นไหว
จิตเตลิด ออกจากร่าง อย่างฉับไว
ตามเธอไป หายลับ ไม่กลับมา
ตลึงนั่ง ตั้งสติ ตริตรองตรึก
นั่งนอนนึก เนิ่นนาน เรายังหนา
ที่เคยคิด ว่าเรานั้น อรหันตา
เป็นเพียงว่า เราหลงผิด คิดไปเอง
จึงอยู่ฝึก จิตใจ ในวัดบ้าน
ตั้งจิตมั่น ไม่หวั่นตาม รูปกลิ่นเสียง
เห็นเพียงเห็น ไม่ปรุงแต่ง ไม่โอนเอียง
จิตเริ่มเที่ยง ไม่หวั่นไหว ไปตามมาร
ไม่นานนัก ความวุ่นวาย ก็เป็นว่าง
มองเห็นทาง ไปถึงซึ่ง อรหันต์
จิตที่เคย หมุนเวียน เปลี่ยนทุกวัน
ก็เงียบงัน หมดห่วง พ้นบ่วงมาร
อยู่วัดไหน ไม่สำคัญ มันอีกแล้ว
เป็นพระแนว ค่ำไหน ก็นอนนั่น
ขอเพียงใจ สงบสุข ไม่ผูกพัน
เพราะนิพพาน อยู่ใน ใจเราเอง
……………………
กลอนที่ 4
หลงทาง
……………………
ตั้งใจฝึก สมาธิ หลายปีแล้ว
ฝึกหลายแนว ที่มีอยู่ เรารู้จัก
เพ่งกสิณ เข้าฌาน ด้วยใจรัก
ทุกสำนัก ไปฝึกหมด ด้วยอดทน
เกิดนิมิต เห็นภพชาติ แต่กาลเก่า
เห็นภพเขา ภพเรา อย่างได้ผล
จึงทำนาย ทายทัก ให้ผู้คน
ที่เขาสน ถามไถ่ ไม่ปิดบัง
ลาภและยศ หลั่งไหล มารุมเร้า
จิตของเรา หวั่นไหว ไร้มนต์ขลัง
ทำนายผิด พลาดพลั้ง เข้าอย่างจัง
คนเกลียดชัง รุมต่อว่า ด่าประจาน
หาว่าเรา เป็นพระอวด อุตริ
รุมตำหนิ มากมาย เกินไขขาน
ทั้งเผยแผ่ ศาสนา ไร้หลักการ
ถูกระราน ไล่สึก อยู่ร่ำไป
กลับมานั่ง นิ่งนึก ตรึกตรองตริ
เริ่มต้นริ ฝึกฝน ตนเองใหม่
ศึกษาเพิ่ม เติมความรู้ ให้กว้างไกล
แยกแยะได้ ไหนพุทธ ไหนโยคี
กสิณฌาณ เป็นฐานฝึก อิทธิฤทธิ์
ของเหล่าศิษย์ ดาบส พระฤาษี
มิใช่ทาง ตรัสรู้ พระภูมี
ฝึกเต็มที่ ก็ไม่ถึง ซึ่งนิพพาน
จึงกลับมา เดินตาม ทางพุทธะ
กำหนดรู้ ทุกขะ ให้แจ่มแจ้ง
กำหนดละ ซึ่งตัณหา อย่างสุดแรง
ทำให้แจ้ง ซึ่งการดับ ทุกข์ลับไป
ยึดมรรคา แปดประการ เป็นฐานไว้
เมื่อจิตไม่ ปรุงแต่ง ทุกข์ก็หาย
ทุกสิ่งอย่าง กระจ่างแจ้ง เหมือนเปิดไฟ
เหมือนเราหงาย ของคว่ำอยู่ รู้ความจริง
จึงขอบคุณ ทุกท่านที่ ให้โอกาส
เคยพลั้งพลาด ขออภัย โยมชายหญิง
ขอบพระคุณ ทุกท่าน ที่ท้วงติง
ไม่มีสิ่ง ใดมอบ ตอบแทนคุณ
บัดนี้เรา เดินมา ถูกทางแล้ว
เป็นพระแนว สอนธรรม เกื้อนำหนุน
ให้ญาติโยม ศรัทธาใน พุทธคุณ
จิตอบอุ่น สุขสดใส ในนิพพาน
………………..
กลอนที่ 5
แค่ปลายมือ
………………
บวชแต่เด็ก เล่าเรียน ฝึกเขียนอ่าน
หลายปีผ่าน พ้นไป ไม่ท้อถอย
เป็นมหา เปรียญดั่ง ตั้งตาคอย
จึงมุ่งสอย ปริญญา วิชาการ
เข้าศึกษา มหาลัย ในทางสงฆ์
ญาติโยมส่ง ข้าวปลา น้ำอาหาร
บำเพ็ญบุญ หนุนปัจจัย ให้เป็นทาน
เรียนจบผ่าน ปริญญา วิชาการ
มีความรู้ กว้างขวาง ไม่หยั่งลึก
รู้เพียงนึก นี่นู้น โน้นและนั่น
สุขกับทุกข์ หมุนเวียน เปลี่ยนทุกวัน
เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ มีแต่เซ็ง
ความอยากมี อยากเป็น ยังคงอยู่
ความหดหู่ ท้อถอย คอยข่มเหง
ตัณหาเถื่อน กิเลสถ่อย คอยบรรเลง
เสียงพิณเพลง ยังเสนาะ เพราะจับใจ
แม้มุ่งมั่น ฝึกจิต ให้ผ่องผุด
แต่จิตมุด รั้ววัดไป ไหนต่อไหน
ถ้าขืนบวช ติดต่อ ก็บรรลัย
สึกตามใจ แล้วบวชอีก ก็ยังทัน
นิพพานคือ เป้าหมาย ยังไม่ถึง
สักวันหนึ่ง กลับบวชใหม่ ไม่เหหัน
คงบรรลุ นิพพานได้ ในสักวัน
ตอนนี้ฉัน สึกไปก่อน ตอนมีแรง
จึงสึกมา หางานทำ เลี้ยงชีวิต
สุจริต นำทาง อย่างเข้มแข็ง
ได้คู่ครอง ต้องใจ ช่วยจัดแจง
ช่วยเบาแบ่ง ภาระงาน ให้บรรเทา
มีลูกหลาน เพิ่มมา เป็นภาระ
ยากที่จะ ตัดใจ จากพวกเขา
ความผูกพัน ร้อยรัด มัดใจเรา
จนแก่เฒ่า ป่วยไข้ ใกล้เข้าโลง
ไม่บวชกาย แต่ใจบวช มานานแล้ว
เป็นเฒ่าแนว ลดละ โลภโกรธหลง
กำหนดรู้ ซึ่งทุกข์ สุขดำรงค์
ถีบถองส่ง ซึ่งความอยาก ออกจากใจ
พอความอยาก หมดไป ก็คลายทุกข์
เกิดความสุข เรืองรอง จิตผ่องใส
เผลอนิดเดียว ความอยากกลับ ทับถมใจ
จิตเคยใส เศร้าหมอง เข้าครองแทน
แต่ละวัน วนเวียน อยู่อย่างนี้
หลายสิบปี ที่บาศก์บ่วง ความหวงแหน
ผูกรัดคอ มัดศอกไว้ ไม่คลอนแคลน
มันสุดแสน ยากจะหลุด สุดดึงดัน
อยากจะถ่อ สังขาร ออกไปบวช
เพื่อละโกรธ โลภหลง ในสงสาร
เพื่อก้าวเดิน บนเส้นทาง สู่นิพพาน
แต่สังขาร สึกหรอ สุดถ่อพาย
นั่งเหม่อมอง ตรองดู กูหรือนี่
ก่อนเคยมี ความฝัน อันสดใส
จะเข้าสู่ นิพพาน อันอำไพ
ก้าวเดินไป ตามรอยบาท พระศาสดา
บวชเป็นสงฆ์ ทรงศีล สิ้นกิเลส
ถือครองเพศ พรหมจรรย์ จิตหรรษา
จาริกไป สอนธรรม นำประชา
ตราบชีวา ดับดิ้น สิ้นลมปราณ
แต่บัดนี้ มีเพียงร่าง ของชายแก่
ใต้รักแร้ มีไม้ค้ำ ถ่อสังขาร
เขม้นมอง จ้องทาง สู่นิพพาน
อีกไม่นาน ต้องลาลับ ดับชีพลง
วางไม้เท้า กราบก้ม ประนมนึก
น้อมระลึก หลักธรรม ตามประสงค์
คำสั่งเสีย สุดท้าย พุทธองค์
ที่ให้สงฆ์ ทั้งหมด จดจำกัน
ว่าตราบใด ยังมีผู้ เดินตามมรรค
โลกนี้จัก ไม่ว่าง อรหันต์
แสงสว่าง ส่องใจ ในฉับพลัน
เห็นนิพพาน อยู่ใกล้ แค่ปลายมือ
…………………….