เขียนจากจินตนาการ
…………………
กลอนที่ 1
………………..
บวชทำดี ละชั่ว ทุกชนิด
อบรมจิต ดูแลใจ ไม่ไปไหน
นั่งนอนนึก นับนิ้วมือ ด้วยอาลัย
ต้องสึกไป รับงาน ที่บ้านรอ
นึกถึงคุณ ข้าวแดง และแกงร้อน
ญาติโยมหย่อน บาตรให้ มิได้ขอ
พระอาจารย์ สอนสั่ง ยังเฝ้ารอ
ให้สานต่อ หลักธรรม พระสัมมา
แต่ชีวิต ต้องดิ้นรน ทนต่อสู้
ลูกน้อยอยู่ ข้างหลัง ยังศึกษา
เมียลำบาก ขัดสน จนเงินตรา
ขาดคนหา เงินเสบียง เลี้ยงครอบครัว
จึงยกมือ วันทา ขอลาสึก
น้อมระลึก พระอาจารย์ ท่านเจ้าขรัว
ญาติโยมที่ ทำบุญให้ ได้เลี้ยงตัว
ถ้าขืนชัวร์ บวชต่อ ก็กังวล
ขออุทิศ คุณความดี ที่ได้บวช
ทำดีกรวด แทนน้ำให้ ได้เป็นผล
ทุกท่านได้ สุขสมหวัง ดั่งกมล
ประสบผล ภิญโญสุข ทุกท่านเทอญ
…………………..
กลอนที่ 2
…………………..
บวชได้ครบ พรรษา สามเดือนแล้ว
ไร้วี่แวว ยังไม่ถึง ซึ่งอรหันต์
จิตยังคง หมุนเวียน เปลี่ยนทุกวัน
เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ มีแต่เซ็ง
ตั้งหน้าฝึก จิตใจ ให้ผ่องผุด
แต่จิตมุด รั้ววัดไป ตามสายเสียง
เข้าโรงแรม ผับบาร์ หาฟังเพลง
เป็นนักเลง แมงดา หาเกาะกระโปง
จึงยกมือ วันทา ขอลาสึก
แม้จะนึก หวั่นไหว กลัวตายโหง
คู่อริ รอจะเอา เราเข้าโลง
จะชูธง สึกออกไป ไม่หวั่นเกรง
จะละชั่ว ทำดี ชั่วชีวิต
เลิกทำผิด แม้ถูกใคร เขาข่มเหง
จะทำดี ตลอดไป ไม่หวั่นเกรง
จะเลิกเป็น นักเลง ตลอดไป
ขออุทิศ ผลบุญบวช ให้ทุกท่าน
สุขสราญ ร่ำรวย หล่อสวยใส
รักเริงรื่น ชื่นชม สมฤทัย
มีเป็นได้ ดั่งฝัน ทุกท่านเทอญ
…………………..
กลอนที่ 3
…………………..
บวชมานาน หลายสิบปี มีแต่ได้
เงินมากมาย หลายบัญชี มีสะสม
ญาติโก โหติกา ต่างชื่นชม
ชีวิตจม กับตัณหา มานานปี
จะกลับตัว กลับใจ ก็ลำบาก
ตัณหาชัก จูงไป เป็นสมี
แม้คนอื่น ยังไม่รู้ ก็ตามที
แต่ความดี คอยตำหนิ ติติงเตือน
จึงยกมือ วันทา ขอลาสึก
ด้วยสำนึก ก่อนวจี ที่เชือดเฉือน
จากสังคม จะประจาน นานปีเดือน
สึกเป็นเพื่อน แต่งสีกา หางานทำ
สร้างครอบครัว ให้อบอุ่น ด้วยความรัก
ไม่นานนัก คงมีลูก หนึ่งสองสาม
งานก้าวหน้า ค้าขาย กำไรงาม
ปฏิบัติตาม หลักธรรม พระสัมมา
ก็ยังมี โอกาสได้ ขึ้นสวรรค์
ดีกว่าการ บวชต่อไป จนบาปหนา
บาปทั้งเรา บาปทั้ง แม่สีกา
สึกดีกว่า ขืนบวชต่อ ก็บาปนาน
จึงกรวดน้ำ คว่ำขัน พลันอุทิศ
ชั่วชีวิต คุณความดี ที่สร้างสรรค์
ขอได้โปรด ให้ผล ดลบันดาล
ให้ญาติโยม ทุกท่าน จงโชคดี
ที่ตกทุกข์ ขอให้พ้น จากความทุกข์
ให้พบสุข ปรีดิ์เปรม เกษมศรี
สุขอยู่แล้ว ให้สุขเพิ่ม เติมทวี
เป็นเศรษฐี หล่อสวยใส ดั่งวัยทีน
ให้อายุ ยืนยาว ไม่เฒ่าแก่
รักดูแล กันเหมือน ไข่ในหิน
โชคสุขหลั่ง ไหลมา เป็นอาจิณ
ตราบจนสิ้น อายุขัย ดั่งใจเทอญ
……………………
กลอนที่ 4
……………………
บวชมานาน หลายสิบปี มีลาภยศ
เกียรติปรากฏ ก้องไป สุดไพศาล
มีตำแหน่ง ใหญ่โต มโหฬาร
เป็นสมภาร ปกครองสงฆ์ ดำรงธรรม
มีญาติโยม ศรัทธา ทุกสารทิศ
มีลูกศิษย์ ยิ่งใหญ่ ในสยาม
สิ่งก่อสร้าง ยิ่งใหญ่ และสวยงาม
ทุกเขตคาม ห้อยเหรียญฉัน ป้องกันภัย
แต่ทุกอย่าง กลับกลาย เป็นไม่แน่
ใจฉันแย่ ชวนเซ ถะเหลไถล
กายอยู่วัด แต่จิตวุ่น หมุนวนไป
อยากมีใคร มาเป็นคู่ อยู่ครองเรือน
ไม่อยากอยู่ แล้ววัด มันกลัดกลุ้ม
ตัณหารุม กิเลสถ่อย คอยเชือดเฉือน
พญามาร ส่งคำขู่ มาย้ำเตือน
ให้สึกออก ไปครองเรือน ไม่งั้นตาย
จึงอำลา อาลัย ตัดใจสึก
ตามใจนึก เผื่อบางที ไข้ใจหาย
เรื่องกลัดกลุ้ม รุ่มร้อน อาจผ่อนคลาย
เรื่องเลวร้าย อาจหมุนเวียน เปสี่ยนเป็นดี
ยังดีกว่า บวชต่อ แล้วก่อเรื่อง
เป็นประเทือง หรือไม่ก็ เป็นสมี
บางทีสึก ไปแล้ว อาจจะดี
อาจมั่งมี หรือมีมั่ง ก็ชั่งมัน
จึงยกมือ วันทา ขอลาสึก
ด้วยสำนึก ในข้าวปลา น้ำอาหาร
ที่ญาติโยม ใส่บาตร ให้เป็นทาน
มานมนาน หลายสิบปี ที่ศรัทธา
ขออุทิศ บุญกุศล ผลบุญให้
ญาติโยมได้ สมมุ่งมาด ปรารถนา
ได้มีเป็น เช่นฝันใฝ่ ไม่คลาดคลา
ปรารถนา สิ่งใด สมใจเทอญ
……………………
กลอนที่ 5
……………………
บวชแก้บน ให้พ่อแม่ แต่ยังเด็ก
เป็นเณรเล็ก กระจ้อยร่อย ด้อยศึกษา
พระอาจารย์ ให้พากเพียร เรียนวิชา
เพื่อเสาะหา หนทางสู่ พระนิพพาน
หลายสิบปี ที่พากเพียร เรียนธรรมะ
บวชเป็นพระ นานปี เพราะมีฝัน
เคร่งวินัย ใฝ่ธรรมะ ละบ่วงมาร
เป็นอาจารย์ สอนธรรม นำประชา
เดินธุดงค์ ลงกลด ไปทุกที่
มีของดี อยู่ที่ไหน ไปเสาะหา
กลายเป็นจอม ขมังเวทย์ เดชศักดา
ชนศรัทธา ยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทาน
เดินเท้าเปล่า หลายปี ไม่มีท้อ
มุ่งถักทอ จิตใจ ให้อาจหาญ
ละโลภโกรธ หลงได้ ใจเบิกบาน
ถึงนิพพาน แน่แล้วเรา ในคราวนี้
นึกกระหยิ่ม ยิ้มย่อง ว่าหลุดพ้น
นึกว่าตน หมดกิเลส เภทภัยหนี
แต่พอเห็น สาววัยรุ่น หุ่นสวยดี
จิตกลับมี รักใคร่ ไม่ปล่อยวาง
ที่เคยคิด ว่าชนะ กลับไม่ใช่
เพราะความใคร่ ในใจ ไม่สะสาง
เจอสาวสวย หุ่นฉอเลาะ ก็อับปาง
จิตถึงทาง อับเฉา เราแพ้มาร
จึงยกมือ วันทา ขอลาสึก
ด้วยสำนึก ในข้าวปลา น้ำอาหาร
ที่ญาติโยม ใส่บาตร ให้เป็นทาน
มานมนาน หลายสิบปี ที่ศรัทธา
ขออุทิศ บุญกุศล ผลบุญให้
ญาติโยมได้ สมมุ่งมาด ปรารถนา
ได้มีเป็น เช่นฝันใฝ่ ไม่คลาดคลา
ปรารถนา สิ่งใด สมใจเทอญ
…………………………………………..