ข้าพเจ้านำเอาคำสอนของศาสนาพุทธ คริสต์และอิสลามมาเปรียบเทียบกันในเรื่องบุญ บาป นรก และสวรรค์ พร้อมด้วยมุมมองความคิดเห็นส่วนตัวนำเสนอเพื่อประเทืองปัญญาของแฟนเว็บที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ผิดพลาดขออภัย ผิดใจขอโทษนะครับ
1. บุญคืออะไร?
พจนานุกรมไทย…บุญคือการทำดีตามหลักคำสอนในศาสนา
พุทธ……บุญคือผลแห่งการทำดี
คริสต์…..บุญคือการบรรลุถึงความครบถ้วนแห่งกฎหมายอันชอบธรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับมนุษย์
อิสลาม….บุญคือสิ่งที่มีความสำคัญทางจริยธรรมต่อจิตใจ
2. บาปคืออะไร ?
พจนานุกรมไทย….บาปคือการทำผิดหลักคำสอนหรือข้อห้ามในศาสนา
พุทธ…บาปคือใจที่เศร้าหมองเพราะถูกความอยากครอบงำ
คริสต์…บาปคือการกระทำที่ขัดกับมาตรฐานของพระเจ้า หรือการพลาดไปจากมาตรฐานที่ดีเยี่ยมของพระเจ้า หรือการไม่บรรลุถึงความครบถ้วนแห่งกฎหมายอันชอบธรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับมนุษย์
อิสลาม…บาปคือการละเมิดคำสอนในศาสนา
3. การฆ่าสัตว์เป็นบาปหรือไม่?
พุทธ…การฆ่าสัตว์เป็นบาปเพราะขาดเมตตาคือความรัก ฆ่าสัตว์แล้วใจจะเศร้าหมองและเป็นทุกข์ซึ่งเรียกว่าบาปในชาตินี้ พอตายปั๊บวิญญาณจะต้องไปสู่แดนแห่งการทรมาณคือนรก จะถูกทรมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบาปที่ทำไว้ เช่น ฆ่าสัตว์ที่มีคุณต่อเราบาปมากกว่าฆ่าสัตว์ทั่วไป ฆ่าสัตว์ทั่วไปบาปน้อยกว่าฆ่าสัตว์ที่มีโทษ ฆ่าสัตว์ใหญ่บาปมากกว่าฆ่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ฆ่าสัตว์ที่มีเจ้าของหวงแหนทั้งบาปทั้งได้รับโทษตามกฎหมาย เป็นต้น
คริสต์…การฆ่าสัตว์ไม่บาปเพราะพระเจ้าสร้างสรรพสัตว์และสรรพสิ่งเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว
อิสลาม…การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารไม่บาป / การฆ่าคนมุสลิมที่ละทิ้งศาสนาของตนไม่บาป / การฆ่าคนศาสนาอื่นที่รังแกคนมุสลิมไม่บาป
4. การชนไก่เป็นบาปหรือไม่?
พุทธ…..การชนไก่เป็นบาปเพราะขาดเมตตา
คริสต์…การชนไก่ไม่บาป เพราะพระเจ้าสร้างสรรพสัตว์และสรรพสิ่งเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว
อิสลาม…การชนไก่ไม่บาป เพราะอัลลอฮได้สร้างสรรพสัตว์และสรรพสิ่งเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว
5. นรกคืออะไร?
พจนานุกรมไทย….นรกคือแดนแห่งการทรมาณผู้ทำบาปหลังความตาย
พุทธ…นรกคือใจที่เป็นทุกข์เพราะถูกความอยากครอบงำ(ธัมมาธิษฐาน) / นรกคือแดนแห่งการทรมาณผู้ทำบาปหลังความตาย(ปุคคลาธิษฐาน)
คริสต์…นรกคือแดนคนตายหรือหลุมฝังศพ
อิสลาม…นรกคือสถานที่สำหรับการลงโทษที่อัลลอฮได้จัดเตรียมไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
6. สวรรค์คืออะไร?
พจนานุกรมไทย….สวรรค์คือโลกของเทวดาหรือเมืองฟ้า
พุทธ…สวรรค์คือใจที่เปี่ยมสุข / สวรรค์คือวิมานของเทวดาและนางฟ้า
คริสต์…สวรรค์คือห้วงเวลานิรันดรแห่งความรักระหว่างเรากับบรรดาทูตสวรรค์ นักบุญและพระเจ้า
อิสลาม…สวรรค์คือดินแดนแห่งความสุขสบายไร้ซึ่งสิ่งไร้สาระ เป็นดินแดนที่อัลลอฮนั้นได้สร้างมาเพื่อให้บรรดามุสลิมที่ศรัทธาต่อพระองค์และศรัทธาต่อศาสนาอิสลามของพระองค์ ซึ่งเป็นความปรารถนาของมุสลิมทุกคน
7. จะไปสวรรค์ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
พุทธ…ให้ทาน รักษาศีลและปฏิบัติธรรม ขยายความว่า
1.ให้ทาน หมายถึง
1.1 การบริจาคปัจจัยสี่ตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาได้แก่ ให้อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคแก่นักบวชในศาสนา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือแบ่งปันทรัพย์และสิ่งของแก่ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน คนยากจนและสาธารณกุศลต่าง ๆ
1.2 การให้อภัยในความผิดพลาดบกพร่องของคนอื่น
2. รักษาศีล หมายถึงการรักษากายกับวาจาให้สุภาพเรียบร้อยด้วยการ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดโกหกหลอกลวง และไม่เสพของมึนเมา
3. ปฏิบัติธรรม หมายถึงการทำใจให้สงบและบริสุทธิ์ผ่องใส
คริสต์…..เราจะพบแผ่นดินสวรรค์ในวันที่เรารับเอาพระเยซูคริสต์เจ้าเข้ามาในจิตใจโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอื่นอีกเลย(คาธอลิก)
อิสลาม….ทำตามคำสอนในศาสนาอิสลามข้อใดข้อหนึ่งเช่น ไม่ตั้งภาคีกับพระเจ้า ละหมาดเป็นประจำ สร้างมัสญิดหนึ่งหลัง รักษาความสะอาดปากและอวัยวะเพศ เดินทางแสวงหาความรู้ กล่าวสรรเสริญพระเจ้า ไม่ยะโสโอหัง ไม่คดโกง ไม่มีหนี้ เผยแผ่ศาสนาอิสลาม ท่องบ่นพระคัมภีร์ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในโลกนี้มีความจริงอยู่ 2 อย่างคือ
การชนไก่เป็นบาปหรือไม่ ท่านจะเชื่ออย่างไรก็สุดแท้แต่จะเห็นสมควร เพราะแต่ละศาสนามีความเห็นในเรื่องนี้แตกต่างกัน ดีที่สุดคือเชื่อตามคำสอนในศาสนาที่ตนนับถือ แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเขื่อคำสอนของศาสนาใดดีก็ให้คิดพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจึงตัดสินใจเชื่อ
ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธ มีความเชื่อว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ถ้าใจผ่องใสเป็นสุขเพราะไม่มีกิเลสตัณหาครอบงำนั่นคือสวรรค์ แต่ถ้าใจเศร้าหมองเป็นทุกข์เพราะถูกกิเลสตัณหาครอบงำนั่นคือนรก กาลครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัดถูกหลวงตาเรียกไปตักเตือนให้เลิกเลี้ยงไก่ชน โดยให้เหตุผลว่าการเลี้ยงไก่ชนเป็นบาป เพราะเป็นการทรมาณสัตว์ คนที่ใจคอโหดเหี้ยมเท่านั้นจึงทำได้ คนที่เลี้ยงไก่ชนตายไปจะต้องตกนรกห้าร้อยปี พ้นจากนรกแล้วต้องมาเกิดเป็นเปรตมีลักษณะตัวเป็นคนหัวเป็นไก่ พอถึงวันพระเวลากลางคืนต้องต่อสู้จิกตีกันเองตามวัดร้างเสียงดังตุบตับ ๆ เป็นเวลาห้าร้อยปี ข้าพเจ้าอดหัวเราะในใจไม่ได้แต่ก็รับฟังด้วยดี ไม่เคยโต้แย้งหรือชี้แจงใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อดคิดไม่ได้ว่า
1. การเลี้ยงไก่ชนเป็นอาชีพที่สุจริตไม่ผิดศีลธรรม และไม่ผิดกฎหมายของบ้านเมือง ปัจจุบันมีคนเพาะเลี้ยงไก่ชนส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ไก่ชนขายได้ราคาแพงกว่าไก่พื้นเมืองหลายเท่า ขนาดลูกไก่อายุเพียงสามเดือนบางซุ้มบางฟาร์มเขายังขายได้คู่ละ 3,000 ถึง 10,000 บาท หลวงตาควรจะตักเตือนข้าพเจ้าว่าการเลี้ยงไก่ชนไม่เป็นบาป แต่การเอาไก่ไปชนกันเป็นบาป เพราะการเอาไก่ชนกันเป็นการทรมาณสัตว์ผิดหลักธรรมคือขาดเมตตานะโยม
2. การเอาไก่ชนกันน่าจะบาปน้อยกว่าการฆ่าไก่ชน เพราะการเอาไก่ไปชนกันนั้นมันเป็นความสมัครใจของไก่เองที่จะต่อสู้ ถ้าเห็นว่าไก่เราสู้ไก่เขาไม่ได้เราก็ขอยกไก่ยอมแพ้ หรือไก่ยอมแพ้เองก็ไม่ว่ากัน หรือไก่ไม่สู้เจ้าของไก่ก็บังคับมันไม่ได้ ต้องอุ้มมันกลับไปเลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์ หรือขายเป็นไก่แกง หรือฆ่าแกงกินบ้าง แบ่งเพื่อนบ้านไปกินบ้าง ต้มแกงนำไปถวายพระบ้าง เพื่อแบ่งบุญเฉลี่ยบาปให้กับผู้ที่กินไก่ด้วยกัน
3. พระเทศน์ว่า สัตว์ทุกตัวรักชีวิตและกลัวตาย การทรมาณและการฆ่าพวกเขาจึงเป็นบาป การฆ่าไก่ชนผิดศีลข้อที่ 1 คือ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ แปลว่า พึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเอาไก่ชนตีกันจึงไม่ผิดศีลเพราะไม่ได้ฆ่าไก่
4. ถ้าเอาไก่ชนกันเป็นบาปต้องตกนรกห้าร้อยปีและต้องมาเกิดเป็นเปรตหัวเป็นไก่ตีกันดังตุบตับ ๆ ทุกคืนวันพระอีกห้าร้อยปี การเอาสัตว์ชนิดอื่นมาต่อสู้กันก็ต้องตกนรกห้าร้อยปีและต้องมาเกิดเป็นเปรตหัวเป็นสัตว์ชนิดนั้น ๆ ตบตีกันดังตุบตับ ๆ ทุกคืนวันพระอีกห้าร้อยปีเช่นเดียวกัน
5. การฆ่าไก่ชนหรือการฆ่าสัตว์อื่นทุกชนิดผิดทั้งศีลและธรรมจะต้องได้รับโทษมากกว่าการนำสัตว์เหล่านั้นมาชนกันหรือต่อสู้กันอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่กินเนื้อสัตว์เหล่านั้นก็ต้องได้รับโทษเท่ากับผู้ฆ่าหรือมากกว่า เพราะผู้ฆ่า ผู้ซื้อ ผู้กิน ผู้จำหน่ายจ่ายแจกเป็นผู้มีส่วนร่วมในการฆ่าจึงต้องได้รับโทษเท่ากัน เพราะถ้าไม่มีคนซื้อเนื้อสัตว์มากินคนฆ่าสัตว์และคนหาสัตว์มาขายก็จะเลิกอาชีพเหล่านั้นไปเองโดยอัตโนมัติ
6.. ถ้ากีฬาชนไก่เป็นบาป ผู้มีส่วนร่วมในการจัดให้มีการชนไก่ทุกฝ่าย ตั้งแต่นายสนามไก่ กรรมการ เจ้าของไก่ มือน้ำ ผู้เล่น ผู้ชม ผู้เชียร์ ต้องตกนรกห้าร้อยปีและเป็นเปรตจิกตีกันดังตุบตับ ๆ ทุกคืนวันพระเป็นเวลาห้าร้อยปี เพราะถือว่าทุกฝ่ายเป็นผู้มีส่วนร่วมให้เกิดรายการชนไก่ขึ้น
กีฬาชกมวยก็ต้องเป็นการทรมาณคนเพราะเอาคนมาชกกัน ผู้ที่จ้างนักมวยมาชกกันบนเวทีรวมทั้งเจ้าของค่ายมวย กรรมการ สปอนเซ่อร์ เจ้าของสถานีถ่ายทอดการชกมวย ท่านผู้ชมรายการถ่ายทอดมวย รวมทั้งองค์กรการกุศลที่รับเงินจากการจัดมวยชก ก็ต้องเป็นบาปตกนรกห้าร้อยปีและเป็นเปรตชกกันดังตุบตับ ๆ ทุกค่ำคืนวันพระเป็นเวลาห้าร้อยปีเช่นเดียวกัน เพราะถือว่าทุกฝ่ายเป็นผู้มีส่วนร่วมให้เกิดรายการชกมวยขึ้น
7. มนุษย์ทุกคนรวมทั้งสัตว์กินเนื้อทุกชนิดบนโลกนี้ ถ้าไม่ฆ่าสัตว์กินเองก็ต้องกินเนื้อสัตว์ซึ่งถือว่าทั้งผู้ฆ่าและผู้กินเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำให้สัตว์ตาย จึงต้องพากันตกนรกห้าร้อยปีและกลายเป็นเปรตหัวขาดอีกห้าร้อยปีโดยทั่วกัน คงจะไม่มีใครหรือสัตว์กินเนื้อตัวใดได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์อย่างแน่นอน
ผู้ที่จะได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์จะมีเพียงสัตว์กินหญ้าเช่นช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น และสัตว์กินซากเช่นอีแร้งเท่านั้น
8. ถ้าชีวิตเลือกได้ไก่คงไม่ยอมให้คนเอามาตีกัน คนเราก็คงไม่ยินยอมรับเงินค่าจ้างมาชกกัน มนุษย์เงินเดือนและมนุษย์รับจ้างก็จะหมดไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง โลกก็จะหยุดการพัฒนา แต่โลกมนุษย์ไม่อาจเป็นอย่างนั้นได้ เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนมีความจำเป็นและข้อจำกัดของตัวเองที่แตกต่างกัน
9. หลายวัดมีฝูงลิง หมา แมว ไก่ชนและไก่ป่าเป็นจำนวนมากที่ชาวบ้านนำมาปล่อยไว้ที่วัด พระเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไว้ด้วยความเมตตาสงสาร แต่ไม่เคยได้ยินพระเทศน์ว่าเป็นบาป ดังนั้นถ้าเราเลี้ยงไก่ชนด้วยความเมตตาสงสารบ้างก็คงจะไม่บาปเช่นเดียวกัน
10. ถ้าเราเห็นไก่ตีกันแล้วไม่ห้ามปรามจับแยกเราก็จะบาปเพราะขาดเมตตาธรรม และถ้าเราเอาไก่ไปตีกันเราก็บาปเพราะขาดเมตตาธรรมเช่นเดียวกัน แต่คงจะบาปน้อยกว่าผู้ฆ่าไก่และผู้กินไก่อย่างแน่นอน
11. ผู้กินเนื้อสัตว์ที่ไม่อยากร่วมรับบาปด้วยให้ความเห็นว่า ไม่มีศีลข้อใดที่ห้ามกินเนื้อสัตว์ และไม่มีธรรมข้อใดที่บ่งชี้ว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาป การกินเนื้อสัตว์จึงไม่ผิดศีลธรรม เอาเหตุผลใดมากล่าวหาผู้กินเนื้อสัตว์ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เป็นพวกเดียวกันกับผู้ฆ่าสัตว์และเป็นบาปเท่ากันกับผู้ฆ่าสัตว์
12. ผู้แบ่งบาปอธิบายว่า ถึงไม่มีศีลข้อใดห้ามกินเนื้อสัตว์และไม่มีธรรมข้อใดบ่งชี้ว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาป แต่การกินเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะซื้อมาหรือได้มาโดยประการใด ล้วนบ่งบอกว่าเป็นการสนับสนุนหรือสมรู้ร่วมคิดให้มีการฆ่าสัตว์จึงต้องเป็นบาปเท่ากันกับผู้ฆ่าสัตว์ เพราะถ้าไม่มีคนซื้อเนื้อสัตว์ไปทำกินก็คงไม่มีผู้ฆ่าสัตว์เอาเนื้อมาขายและสัตว์ก็คงไม่ตาย สัตว์ตายเพราะคนสองพวกคือพวกฆ่าสัตว์และพวกกินเนื้อสัตว์ จึงต้องรับบาปโดยเท่าเทียมกัน
อุปมาเหมือนการรับซื้อของโจร ในทางกฎหมายถือว่ามีความผิดและได้รับโทษเท่ากันกับโจร เพราะถ้าไม่มีผู้สนับสนุนซื้อทรัพย์ที่โจรนำมาขาย โจรก็คงจะไม่ไปขโมยหรือปล้นเจ้าทรัพย์ ทรัพย์หายไปเพราะคนสามจำพวกคือพวกโจร พวกรับซื้อของโจร และพวกรับทรัพย์จากโจร ทั้งสามพวกต้องได้รับโทษโดยเท่าเทียมกัน จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นกับการปล้นหรือการขโมยทรัพย์มาล้วนฟังไม่ขึ้น
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ อธิบายว่า ….. บุญและบาปเป็นสิ่งเดียวกัน บุญมากเรียกว่าบุญ แต่ถ้าบุญน้อยเราก็เรียกว่าบาป ยกตัวอย่างพระเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวโยมถือว่าเป็นสิริมงคลซึ่งก็คือบุญ แต่ถ้าโยมเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวพระบ้างถือว่าเป็นบาป ตายไปต้องตกนรก ทั้ง ๆ ที่ไม้จุ่มน้ำเคาะก็อันเดียวกัน เคาะหัวหนักเบาเท่า ๆ กัน ต่างกันที่คนเคาะและคนถูกเคาะสลับที่กันเท่านั้น ถ้าการเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวกันเป็นบุญพระเคาะหรือโยมเคาะก็ต้องได้บุญเหมือนกัน และถ้าการเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวกันเป็นบาป พระเคาะหรือโยมเคาะก็ต้องเป็นบาปและตกนรกเหมือนกัน ดังนั้นบุญและบาปจึงเป็นสิ่งเดียวกันต่างกันที่การสมมุติเท่านั้น
มหาบุญถึง ยืนยันหลัก แย้งว่า ….บุญและบาปไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน บุญก็คือบุญ ส่วนบาปก็คือบาป ที่ยกตัวอย่างว่าพระเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวโยมถือว่าเป็นสิริมงคลซึ่งก็คือบุญนั้น ก็เพราะโยมยินยอมพร้อมใจให้เคาะด้วยความเชื่อว่า ถ้าพระเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวให้จะเกิดสิริมงคลซึ่งก็คือได้บุญนั่นเอง ส่วนที่โยมเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวพระบ้างกลับเป็นบาปและตกนรกก็เพราะพระไม่ยินยอมให้เคาะ การเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวให้กันจะเป็นบุญหรือบาปขึ้นอยู่กับเจตนาของบุคคลทั้งสองฝ่าย ในทางกลับกันถ้าพระยินยอมให้โยมเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวให้ด้วยความเชื่อว่าจะเกิดสิริมงคลคือได้บุญ โยมจะเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวพระกี่ครั้งก็ย่อมได้บุญ แต่ถ้าพระเอาไม้จุ่มน้ำเคาะหัวโยมโดยที่โยมไม่ยินยอม พระต้องเป็นบาปและตกนรกเช่นเดียวกัน ดังนั้นบุญและบาปจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างที่ท่านมหาบุญหนัก ยืนยังเซ อธิบาย
มหาบุญหนัก ยืนยังเซ ยืนยันว่า ….. บุญและบาปเป็นสิ่งเดียวกัน บาปน้อยเรียกว่าบุญ แต่ถ้าบุญน้อยเราก็เรียกว่าบาป ที่ยกตัวอย่างครั้งแรกนั้นอาจฟังดูคลุมเคลือทำให้มหาบุญถึง ยืนยันหลัก ยกเหตุผลมาหักล้างได้ จึงขอยกตัวอย่างที่แจ่มแจ้งชัดเจนกว่าว่า
มหาบุญถึง ยืนยันหลัก ยืนยันว่า บุญและบาปไม่ใช่สิ่งเดียวกัน บุญก็คือบุญ ส่วนบาปก็คือบาป ที่ยกตัวอย่างว่า อุณหภูมิ 20 องศา ฝรั่งบอกว่าเย็น คนไทยบอกว่าร้อน เป็นการสมมุติที่ใกล้เคียงกันเกินไปทำให้มองไม่เห็นข้อแตกต่าง แต่ถ้าสมมุติอุณหภูมิที่ 100 องศาไม่ว่าฝรั่งหรือคนไทยก็จะรู้สึกตรงกันว่าร้อน ถ้าอุณหภูมิติดลบ 100 องศาไม่ว่าคนชาติไหนก็จะรู้สึกตรงกันว่าเย็น ดังนั้นร้อนกับเย็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและมิใช่สิ่งเดียวกัน จึงสรุปเหมือนเดิมว่า บุญคือบุญส่วนบาปก็คือบาป
ที่ยกตัวอย่างเรื่องการฆ่าสัตว์ พุทธสอนว่าบาป คริสต์และอิสลามสอนว่าไม่บาปแล้วสรุปว่าบุญและบาปเป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกันที่ความรู้สึกและความเห็นนั้น ขอแย้งว่าถ้าจะเอาความรู้สึกมาตัดสินเรื่องการฆ่าสัตว์ว่าเป็นบาปหรือไม่คงไม่ใช่แน่นอน เพราะถ้าเอาเรื่องนี้ไปถามความรู้สึกของคนที่ชอบกินเนื้อพวกเขาก็คงตอบว่าไม่บาป ถามผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และอิสลามก็จะได้คำตอบว่าไม่บาป ถ้าถามผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องกฎแห่งกรรมว่า กฎแห่งกรรมมีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของกฎแห่งกรรม พระองค์เป็นเพียงผู้รู้ ผู้เห็นแล้วนำมาบอกเล่าให้ฟังเท่านั้น เช่นไฟเป็นของร้อนใครสัมผัสมันเข้าก็จะร้อนเหมือนกัน การฆ่าสัตว์เป็นบาป คนใดฆ่าสัตว์ คนนั้นก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นคือบาป
บางเรื่องความจริงกับความเชื่อก็อยู่ตรงข้ามกัน การฆ่าสัตว์เป็นบาปจริงหรือไม่ ให้เชื่อตามคำสอนในศาสนาที่ตนนับถือไปพลางก่อน พยายามเรียนรู้และพิจารณาโดยถ่องแท้ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่บุญและบาปไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน
มหาหิงส์ นารีสนั่น นั่งฟังสองมหาเถียงกันโดยไม่ยอมลงสักที จึงลุกขึ้นยืนเล่านิทานขัดจังหวะสองมหาว่า… ตอนเย็นวันหนึ่งขณะพ่อตากำลังนั่งจักตอกอยู่หน้าบ้าน เขาสั่งให้ลูกสาวไปตามลูกเขยปากบอนนอนตื่นสายมารับฟังการอบรม พอลูกเขยมาถึงก็นั่งลงยกมือไหว้พ่อตาแล้วพูดขึ้นดัง ๆ ว่า
ลูกเขย……พ่อ ๆ ผมได้กลิ่นอะไรไม่รู้ เหม็นตุ ๆ เหมือนกลิ่นตด ไม่รู้ว่าหมาตัวไหนตด
พ่อตา…..ไอ้ทิด มึงก็พูดเกินไป นั่งอยู่นี่ไม่มีหมาซักตัว มีมึงกับกูเพียงสองคนเท่านั้น ถ้ามึงไม่ตดก็กูตดซิวะ
พอมหาหิงส์เล่าจบ ทั้งสามมหาหัวเราะลั่นขึ้นพร้อมกันแล้วแยกย้ายกันกลับไปช่วยเมียโม้แป้งที่บ้านตามเคย