เป็นสคริปต์งานฌาปนกิจศพที่เจ้าภาพและผู้ร่วมงานชื่นชอบมาก ปรับแต่งใช้ตามเหมาะสมนะครับ
งานฌาปนกิจศพ ผอ.ชัยรบ ศรีทิน
………………………………………………………………………………………….
เกร็ดความรู้สำหรับพิธีกร
1. คำว่าพระคุณเจ้า เป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 2 หมายถึงภิกษุที่เคารพนับถือ
2. ไม่ควรใช้กราบอาราธนา เพราะคำว่า อาราธนา ใช้กับอาราธนาศีลอาราธนาธรรม อาราธนาพระปริต เป็นต้น ซึ่งมีคำอาราธนาเป็นภาษาบาลีโดยเฉพาะอยู่แล้ว
3. ไม่ควรใช้คำเฝือ (คำเฝือคือคำที่มีความหมายซ้ำกัน) เพราะทำให้ภาษาที่ใช้รกรุงรังเช่น กราบอาราธนานิมนต์ ใคร่ขอเรียนเชิญ ให้ใช้ว่า กราบนิมนต์ เรียนเชิญ
4. การให้พระทำนั้นทำนี้ให้ใช้คำว่า นิมนต์ หรือ กราบนิมนต์
5. ไม่ควรใช้พระเดชพระคุณเจ้า เพราะฟังดูตลกและไม่มีในพจนานุกรม
6. พระเดชพระคุณให้ใช้กับพระราชาคณะชั้นเจ้าคุณขึ้นไปถึงสูงสุด เช่น พระเดชพระคุณ แล้วตามด้วยชื่อสมณศักดิ์ของท่านเช่น พระเดชพระคุณพระศรีสกลกิจ พระเดชพระคุณพระราชกวีวรญาณ พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธิเมธี หรือเพิ่มคำว่าท่านเจ้าคุณด้วยก็ได้เช่น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระศรีสกลกิจ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชกวีวรญาณ เป็นต้น ถ้า เป็นพระราชาคณะชั้นสมเด็จให้ใช้ว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ แล้วตามด้วยชื่อสมณศํกดิ์ของท่าน เช่น พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรานุวัตร พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฑฒาจารย์ (ใช้ว่า เจ้าพระคุณ หรือ เจ้าประคุณ ก็ได้) เป็นต้น
7. พระราชาคณะ แปลว่าพระภิกษุที่เป็นคณะของพระราชา หมายถึงพระภิกษุที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้มียศและตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือ พระราชาในการปกครองประเทศ พระแต่งตั้งกันเองไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า คนที่มาบวชเป็นพระต้องสละชนชั้นวรรณะยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งและทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด เมื่อบวชแล้วให้เคารพกันตามลำดับอาวุโส กล่าวคือผู้บวชทีหลังต้องเคารพผู้บวชก่อน ในครั้งพุทธกาลจึงไม่มีท่านพระครูหรือท่านเจ้าคุณให้ญาติโยมเรียกผิดเรียก ถูกอย่างในเมืองไทยทุกวันนี้ เช่น กราบนมัสการ พระสารีบุตร ก็ไม่ต้องใช้คำว่า กราบนมัสการ พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสารีบุตร เป็นต้น
8. ควรใช้คำว่า พระคุณเจ้า กับพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ต่ำกว่าพระราชาคณะ เช่นสามเณร พระภิกษุ พระครู พระครูปลัด พระครูใบฎีกา ฯลฯ
9. คำว่า พระคุณท่าน ไม่มีในพจนานุกรม เคยได้ยินพระใช้เรียกขานกันเองเท่านั้น จึงไม่ควรนำมาใช้กับพระ เพราะดูเป็นการตีตนเสมอพระอะไรประมาณนั้น
10. การใช้คำสรรพนามเรียกชื่อคนอื่นในงานต่าง ๆ ไม่ควรใช้คำว่า นาย หรือนาง แต่ควรใช้คำว่า คุณ………. คุณพ่อ… คุณแม่…คุณตา… คุณยาย….ฯลฯ เพราะสุภาพและเป็นการให้เกียรติเจ้าของชื่อมากกว่า
11. คำว่า ผ้าบังสุกุล เดิมหมายถึงผ้าที่ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว ประเทศอินเดียสมัย พุทธกาลผ้าทำจีวรหายากมาก เพราะชาวบ้านต้องทอผ้าใช้เองด้วยความยากลำบากจึงไม่ค่อยมีใครนำผ้ามาถวาย แต่เมื่อมีคนในครอบครัวตายพวกเขาจำต้องหาผ้าขาวผืนใหญ่มาห่อศพแล้วนำไปทิ้ง ที่ป่าช้านอกเมือง หรือนอกหมู่บ้านเพื่อให้เป็นอาหารของสุนัข อีกา อีแร้ง ฯลฯ ศพถูกสัตว์กัดกินหมดแล้วแต่ยังเหลือผ้าผืนเล็กบ้างใหญ่บ้าง(ผืนเล็กน่า จะเป็นผ้าห่อศพเด็กหรือทารก) ผ้าเหล่านี้ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ และเป็นผ้าที่เจ้าของทิ้งแล้วตามพุทธานุญาต ผู้ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุและภิกษุที่จีวรขาดจึงต้องไปแสวงหาผ้าเหล่านี้มา ตัดเย็บต่อกันเป็นจีวร สบง อังสะ และประคตเอวตามรูปแบบที่กำหนดไว้ แล้วย้อมด้วยเปลือกไม้ แก่นไม้ขนุน หรือดินสีเหลืองสำหรับย้อมผ้า สมัยปัจจุบันผ้าบังสุกุลที่เจ้าภาพซื้อหานำมาถวายในงานศพประกอบด้วย ผ้าสบง 1 ผืน เทียนและดอกไม้อย่างละคู่ และใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพต้องเตรียมผ้าบังสุกุลไว้ถวายพระสงฆ์ทุกรูปที่นิมนต์มาในงาน
12. คำ ว่า ผ้ามหาบังสุกุล มีที่มาเช่นเดียวกับผ้าบังสุกุล แต่เป็นผ้าห่อศพผืนใหญ่(น่าจะเป็นผ้าห่อศพผู้ใหญ่) สามารถนำมาตัดเย็บเป็นจีวรตามรูปแบบที่กำหนดได้ ปัจจุบันหมายถึง ผ้าบังสุกุลชุดใหญ่ ประกอบด้วย ผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน และผ้าอังสะ 1 ผืน และอาจจะเพิ่ม ผ้าสังฆาฏิ 1 ผืน ประคตเอว 1 เส้น ฯลฯ เทียน 1 คู่ ดอกไม้ 1 คู่ และใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพอาจมีศรัทธาเตรียมผ้ามหาบังสุกุลถวายในงานศพชุดเดียวหรือหลายชุดก็ ได้
มีคำที่ใช้ใกล้เคียงกับคำว่าผ้ามหาบังสุกุลอยู่คำหนึ่งคือคำว่า ผ้ามหากฐิน แปลว่าผ้ากฐินชุดใหญ่ กล่าวคือนอกจากมีผ้าไตรแล้วยังมีของบริวารอย่างอื่นด้วยเช่นเดียวกัน
13. คำว่า ผ้าไตรบังสุกุล เป็นคำศัพท์ที่นักปราชญ์ชาวไทยบัญญัติขึ้นใช้แทนคำว่า ผ้ามหาบังสุกุล หมาย ถึงผ้านุ่งห่มชุดเดียวมีสามผืน ประกอบด้วย ผ้าจีวร 1 ผืน ผ้าสบง 1 ผืน ผ้าอังสะ 1 ผืน ดอกไม้และเทียนอย่างละคู่ ใบปวารณา 1 แผ่น เจ้าภาพอาจมีศรัทธาเตรียมผ้าไตรบังสุกุลถวายในงานศพชุดเดียวหรือหลายชุดก็ ได้
พิธีกร มีคำศัพท์ให้เลือกใช้ในเรื่องนี้ถึง 2 คำ คือคำว่า ผ้ามหาบังสุกุล ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล กับคำว่า ผ้าไตรบังสุกุล ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ หรือจะใช้ทั้งสองคำร่วมกันก็ได้ พิธีกรเลือกใช้ให้ถูกใจตัวเอง ถูกใจเจ้าภาพ หรือถูกใจชุมชนนั้น ๆ เทอญ
14. คำว่า ผ้าไตรเอก และคำว่า ผ้าไตรรอง น่าจะเป็นคำศัพท์ที่พิธีกรบัญญัติขึ้นใช้เอง เพราะไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎกหรือพจนานุกรม
ขณะขบวนแห่ศพมาถึงบริเวณงานฌาปนกิจ
พิธีกร…ควรเลือกหาบทกลอนเกี่ยวกับชีวิตและความตายมาอ่านบทเดียวหรือหลายบทให้เหมาะสมกับเวลาเป็นไตเติ้ลก่อนการพูดบรรยายก็ได้เช่น….
กลอนที่ 1..
อนิจจา วะตะ สังขารา
ทุกทิวา ราตรี ไม่มีเที่ยง
เหมือนอายุ พลุตะไล ไฟพะเนียง
เมื่อหมดเสียง หมดดิน ก็หมดดัง
กลอนที่ 2
อันสมบัติ พัสถาน ทั้งบ้านช่อง
อีกเงินทอง ไร่นา มหาศาล
เป็นสมบัติ ของตัว ได้ไม่นาน
จะต้องผ่าน จากกัน เมื่อวันตาย
ส่วนความดี มีสัตย์ สมบัติแท้
ถึงตัวแก่ กายดับ ไม่ลับหาย
จะสถิตย์ ติดแน่น แทนร่างกาย
ชนทั้งหลาย สรรเสริญ เจริญพร
กลอนที่ 3
เจ้าเกิดมา มีอะไร มากับเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
มามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร
เจ้าก็ไป ตัวเปล่า เหมือนเจ้ามา
ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง
อุแว้ก้อง เผชิญทุกข์ สุขโหยหา
เติบโตขึ้น มุ่งหาเงิน เพลินชีวา
ที่แท้หา ทุกข์สาหัส มารัดตน
ฯลฯ
พิธีกร….
อันสมบัติ พัสถาน ทั้งบ้านช่อง
อีกเงินทอง ไร่นา มหาศาล
เป็นสมบัติ ของตัว ได้ไม่นาน
จะต้องผ่าน จากกัน เมื่อวันตาย
ส่วนความดี มีสัตย์ สมบัติแท้
ถึงตัวแก่ กายดับ ไม่ลับหาย
จะสถิตย์ ติดแน่น แทนร่างกาย
ชนทั้งหลาย สรรเสริญ เจริญพร
ท่านที่เคารพครับ………ขณะนี้ขบวนแห่ศพคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ได้มาถึงบริเวณงานฌาปนกิจแล้ว โดยมีพระคุณเจ้าซึ่งเป็นพระเณรลูกหลานบวชจูงศพให้ตามประเพณีของชาวพุทธเราถือสายสิญจน์เดินนำหน้า ลูกหลานญาติพี่น้องของคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อนบ้านที่มาร่วมงานเดินตามหีบศพคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน เป็นแถวยาวด้วยความสงบ ขบวนศพแห่รอบเมรุ ด้วยการเวียนซ้าย เวียนซ้ายคือการหันแขนซ้ายไปทางเมรุแล้วเดินอ้อมเมรุจำนวน 1 รอบ ก่อนนำหีบศพขึ้นตั้งวางในที่ที่จัดไว้บนเมรุ ……….เจ้าหน้าที่โยงสายสิญจน์จากหีบศพไปถวายพระคุณเจ้าบนศาลาเพื่อทำพิธีสวดมาติกาบังสุกุล ถวายจตุปัจจัย รับพร และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ตามประเพณี
หลังจากวางหีบศพไว้บนเมรุเรียบร้อยแล้ว
พิธีกร : กราบนมัสการพระคุณเจ้า ที่เคารพอย่างสูง กราบเรียน ท่านนายอำเภอเจริญศิลป์ ท่านส.ส. ท่านรองหัวหน้าเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 และแขกผู้มีเกียรติ ที่เคารพรักทุกท่าน
กระผมนายทองคำ มือแป ครูโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ได้รับฉันทานุมัติจากเจ้าภาพให้ทำหน้าที่พิธีกรงานฌาปนกิจศพคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ก่อนอื่นกระผมขอแจ้งกำหนดการงานฌาปนกิจให้ท่านที่เคารพที่กรุณามาเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ได้รับทราบร่วมกันดังนี้
1. ไหว้พระรับศีล
2. พระสงฆ์สวดมาติกา
3. ทอดผ้าบังสุกุลบนอาสน์สงฆ์
4. พระสงฆ์สวดบังสุกุลและอนุโมทนา
5. อ่านประวัติผู้ตาย
6. บทกลอนไว้อาลัย
7. คำไว้อาลัยของชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์
8. ทอดผ้ามหาบังสุกุลหน้าหีบศพบนเมรุ
9. ผู้ร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์บนเมรุ
10. ประชุมเพลิง
บัดนี้ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ขอเรียนเชิญคุณพ่อบุญมี เทวสิทธิ์ มรรคนายก(มรรคนายกแปลว่าผู้นำทาง ส่วนคำว่ามรรคทายกแปลว่าผู้ให้ทาง)เป็นผู้นำด้านศาสนพิธีต่อไป ขอเรียนเชิญครับ
หลังจากพระสงฆ์สวดมาติกาจบ
พิธีกร : ขอเรียนเชิญญาติพี่น้องนำผ้าบังสุกุลไปทอดถวายแด่พระสงฆ์บนอาสนะ ถวายให้ครบทุกรูปนะครับ (อาจจะระบุชื่อเจ้าภาพให้ไปถวายก็ได้)
หลังจากญาติพี่น้องวางผ้าบังสุกุลต่อหน้าพระสงฆ์เรียบร้อยแล้ว
พิธีกร : ขอเรียนเชิญทุกท่านประนมมือร่วมพิธี และรับพรครับ
หลังจากพระสงฆ์อนุโมทนาหรือให้พรจบแล้ว
พิธีกร : ต่อไปเป็นการอ่านประวัติผู้ตาย งานนี้ทางเจ้าภาพได้รับเกียรติจากท่านผอ.เสาร์ วงศ์กระจ่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์.เป็นผู้นำเรียนประวัติของคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ผู้วายชนม์ ขอเรียนเชิญครับ
ผู้อ่านประวัติ ……กราบนมัสการพระคุณเจ้า ที่เคารพอย่างสูง กราบเรียน ท่านส.ส. ท่านรองหัวหน้าเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ท่านนายอำเภอเจริญศิลป์ และแขกผู้มีเกียรติ ที่เคารพรักทุกท่าน
กระผมนายเสาร์ วงศ์กระจ่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ได้รับฉันทานุมัติจากเจ้าภาพให้เป็นผู้นำเรียนประวัติของคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นเกียรติและเป็นอนุสรณ์แก่คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ผู้วายชนม์
ประวัติคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน โดยสังเขป
ชาติกำเนิด
คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน เกิดเมื่อวันที่ 1 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 ที่บ้านเลขที่ 237 ถนนกำจัดภัย คุ้มวัดสะพานคำ ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร บิดาชื่อ จ่าสิบตำรวจสวัสดิ์ ศรีทิน มารดาชื่อ ทองคำ ศรีทิน มีพี่น้องร่วมกัน 4 คน ดังนี้
1. นายชัยรบ ศรีทิน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ผู้วายชนม์
2. นางสุรณี ศรีทิน ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าสถานีอนามัยตำบลบ้านถ่อน สมรสกับพันตำรวจโทประหยัด สิงขรณ์ ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
3. พันตำรวจโท วีระวัฒน์ ศรีทิน ข้าราชการบำนาญ อดีตสารวัตรสืบสวนสอบสวนอำเภอคำตากล้า สมรสกับนางพวงเพชร ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
4. นางสุวรัตน์ ศรีทิน เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น สมรสกับนายวิจิตร รินทระ ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2497 เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนสว่างวิทยา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. 2508 เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 8 จากโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. 2511 เรียนจบ ปก.ศ. สูง จากวิทยาลัยครูอุบลราชธานี
พ.ศ. 2532 เรียนจบปริญญาตรี วิชาเอกบริหารโรงเรียน จากวิทยาลัยครูสกลนคร
ประวัติการครองรักครองเรือน
เมื่อปี พ.ศ. 2511 คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน สอบบรรจุได้ และได้มาบรรจุเป็นข้าราชการครูตรี ทำการสอนที่โรงเรียนบ้านทุ่งมน(ทุ่งมนสมานมิตร) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนบ้านเจริญศิลป์วิทยา โรงเรียนเจริญศิลป์วิทยา และโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ตามลำดับ ตำบลทุ่งแก อำเภอสว่างแดนดิน ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นตำบลเจริญศิลป์ และอำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ต่อมาเมื่อ พศ. 2516 ได้แต่งงานกับนางสาวพิไลลักษณ์ จางวางสิทธิ์ ชาวบ้านเจริญศิลป์ หลังแต่งงานแล้วภรรยาสอบเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนเจริญศิลป์วิทยาจนเกษียณอายุราชการด้วยกัน มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 3 คน ดังนี้
1. นายกิตติพงศ์ ศรีทิน ประอาชีพธุรกิจโรงงานทำน้ำดื่มยี่ห้อ เพรียว ที่บ้านเจริญศิลป์หมู่ที่ 2 สมรสกับนางสาวปิยะนันท์ ดุงเนย พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเจริญศิลป์
2. นางสาวปิยะดา ศรีทิน ประกอบอาชีพครู โรงเรียนบ้านหนองหอยคัน อำเภอสว่างแดนดิน สมรสกับ ด๊อกเต้อร์ กิตติพงศ์ สุวรรณเทน เจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลสุวรรณเทน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
3. นายนัฐวุฒิ ศรีทิน ยังไม่มีครอบครัว ประกอบอาชีพครู โรงเรียนอนุบาลสุวรรณเทน
ประวัติรับราชการ
ปี พ.ศ. 2511 สอบบรรจุเข้ารับราชการครูชั้นตรี ที่โรงเรียนบ้านทุ่งมน(ทุ่งมนสมานมิตร) ตำบลทุ่งแก อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
ปี พ.ศ. 2519 ได้รับคำสั่งย้ายด่วนไปโรงเรียนบ้านต้ายด้วยเงื่อนไขทางการเมือง
ปี พ.ศ. 2522 ได้รับคำสั่งย้ายกลับมาเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเจริญศิลป์วิทยา
ปี พ.ศ. 2528 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งย้ายเลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านดงแสนตอ อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
ปี พ.ศ. 2530 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งย้ายเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเจริญศิลป์วิทยา อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร
ปี พ.ศ. 2533 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเจริญศิลป์วิทยา อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร จนเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ปีพ.ศ. 2539 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีตริยาภรณ์ช้างเผือก
ประวัติการทำงานเพื่อสังคมชุมชน
พ.ศ. 2539 ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานชุมชนบ้านเจริญศิลป์หมู่ที่ 12 และได้อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระ 4 ปี
พ.ศ. 2548 ได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ และประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนเจริญศิลป์ศึกษา “โพธิ์คำอนุสรณ์”จนครบวาระ 4 ปี
อุปนิสัย
คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน เป็นคนอารมณ์ดี มีน้ำใจ คุยสนุก พูดเพราะ วางตนเหมาะสม ขยันขันแข็ง รับผิดชอบงานในหน้าที่ และเป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ไว้วางใจของเจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และชาวบ้านเจริญศิลป์ตลอดมา
ความสามารถพิเศษ
คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน เคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นนักกีฬาฟุตบอลของอำเภอสว่างแดนดินและอำเภอเจริญศิลป์ เป็นโค้ชฟุตบอลทั้งของโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนและอำเภอเจริญศิลป์ ….เล่นดนตรีได้หลากหลาย และร้องเพลงได้ไพเราะมาก โดยเฉพาะเพลงจูบมัดจำ ..ฝากเพลงถึงเธอ ..มนต์เมืองเหนือ เป็นต้น
ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ
คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเมือง เป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาและที่ปรึกษาของชุมชน ต่อมาได้ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์น้อย ฐานิสสโร เจ้าอาวาสวัดภูหินกอง บ้านเจริญศิลป์หมู่ที่ 1 คุณพ่อชัยรบได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม รับใช้พระศาสนาที่วัดภูหินกอง ร่วมสร้างและปฏิสังขรณ์เสนาสนะ เจดีย์ วิหาร และศาลาการเปรียญที่วัดภูหินกองตลอดมาจนถึงวันที่ท่านล้มป่วยครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต
วาระสุดท้าย
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน มีอาการปวดศีรษะ อย่างรุนแรงจนหมดสติ ภรรยาและลูก ๆ ได้นำท่านส่งโรงพยาบาลเจริญศิลป์ แพทย์วินิจฉัยว่าเส้นโลหิตในสมองแตก ต้องได้รับการผ่าตัดรักษาโดยด่วน จึงส่งต่อไปรับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลสกลนคร ท่านได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลสกลนครเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แต่ท่านก็ยังไม่ฟื้น คณะแพทย์และพยาบาลจึงนำส่งไปรับการตรวจรักษาต่อที่โรงพยาบาลอุดรธานีเป็นเวลา 2 เดือน ท่านก็ยังไม่ฟื้นเหมือนเดิม แพทย์ผู้ทำการรักษาได้แนะนำให้นำท่านกลับมารักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ภรรยาและลูก ๆ จึงตัดสินใจนำท่านพักรักษาต่อที่โรงพยาบาลเจริญศิลป์เป็นเวลา 2 เดือน แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงนำท่านกลับมาพักรักษาที่บ้าน ภรรยาและลูก ๆ ได้ผลัดเปลี่ยนเวรกันเฝ้าดูแลรักษาท่านอย่างดีที่สุดเป็นเวลา 4 เดือน อาการทรุดลงเรื่อย ๆ จนสุดความสามารถที่จะยื้อชีวิตของท่านเอาไว้ได้ คุณพ่อชัยรบ ศรีทินได้จากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.00 น. สิริอายุได้ 70 ปี ยังความเศร้าโศกเสียใจ ให้เกิดกับภรรยาลูกหลานและญาติพี่น้องทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
อกุศลกรรมใด ที่เป็นกรรมไม่ดี ซึ่งคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งโดยเจตนาและไม่มีเจตนา ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมนั้นแก่คุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ด้วย เทอญ
กุศลกรรมใดที่เป็นคุณงามความดี ซึ่งคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ได้ทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ขอได้โปรด มาเป็นพลัง อำนวยผลดลบันดาล ส่งดวงวิญญาณคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ไปสู่สุขคติ ในสัมปรายภพด้วยเทอญ
ขอเรียนเชิญทุกท่านยืนนั่งตามอัธยาศัย ตั้งใจสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ ขอกราบเรียนเชิญครับ
ครบ 1 นาที
คุณปิยะนันท์ ศรีทิน(ลูกสะใภ้) : อ่านบทกลอนไว้อาลัยต่อไปนี้เบา ๆ เน้นอักขระ จังหวะ วรรคตอนให้ถูกต้อง
แด่….คุณพ่อ
เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องเสียง……เปิดเพลงธรณีกรรแสงเบา ๆ
พ่อเดินทาง จากสกล จนมาถึง
ถิ่นที่ซึ่ง คนหลายเผ่า เข้ามาอยู่
เจริญศิลป์ แห่งแรกที่ พ่อเป็นครู
ร่วมต่อสู้ สั่งสม อุดมการณ์
พ่อพบรัก ฝังใจ ไม่เคยเปลี่ยน
สู้พากเพียร สร้างรังรัก สมัครสมาน
มีลูกน้อย สามคน เป็นพยาน
ส่งเรียนผ่าน ปริญญา วิชาการ
พ่อทำงาน เหน็ดเหนื่อย ไม่เคยบ่น
ลูกทุกคน พ่อส่งถึง ซึ่งฝั่งฝัน
มีปัญหา พ่อช่วย ด้วยผูกพัน
ลูกหวาดหวั่น ท้อถอย คอยปลอบใจ
พ่อให้ลูก ทุกอย่าง ที่หาไว้
ส่งเสริมให้ ลูกถึงฝัน อันสดใส
ได้มีเป็น เช่นที่ฝัน กันทุกราย
สุขสบาย เพราะมีพ่อ ก่อเกื้อกูล
กับเพื่อนพ้อง น้องพี่ มีแต่ให้
มีน้ำใจ โอบเอื้อ คอยเกื้อหนุน
กับวัดวา ศาสนา เนื้อนาบุญ
คอยค้ำจุน ปฏิบัติ ด้วยศรัทธา
ต่อแต่นี้ ไม่มีพ่อ ให้เราเห็น
ทุกเช้าเย็น ไม่มีพ่อ คอยห่วงหา
ไม่มีพ่อ คอยกำกับ ซับน้ำตา
ต้องเหว่ว้า เปล่าเปลี่ยว โดดเดียวดาย
พระคุณพ่อ ยิ่งใหญ่ กว่าท้องฟ้า
กว้างใหญ่กว่า มหาสมุทร สุดขานไข
มากมายยิ่ง เกินกว่า จะบรรยาย
ประทับใจ เมียลูก หลานทุกคน
ขอเดชะ พระไตรรัตน์ บุญฤทธิ์
โปรดประสิทธิ์ พรชัย ให้กุศล
ขอเทพไท้ เทวัญ บันดาลดล
บุญกุศล ลูกเมียก่อ พ่อทำมา
ขอได้โปรด ดลบันดาล ประทานให้
คุณพ่อได้ สมมุ่งมาด ปรารถนา
ได้มีเป็น เช่นที่หวัง ดั่งจินตนา
เสวยสุข บนชั้นฟ้า ให้แสนนาน
หากชาติหน้า เกิดใหม่ ได้พานพบ
ขอประสบ พันผูก เป็นลูกหลาน
ได้ตอบแทน พระคุณท่าน นานแสนนาน
เหล่าภัยพาล ไม่มาพราก เราจากกัน
ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง
จาก… ภรรยา ลูก หลาน และญาติพี่น้องทุกคน
พิธีกร …ต่อไปเป็นการกล่าวคำไว้อาลัยของชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์….ขอ เรียนเชิญคุณพ่อบุญมี เทวสิทธิ์ ประธานชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์ ครับ
คุณพ่อบุญมี เทวสิทธิ์….
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ที่เคารพอย่างสูง เรียน……….. ท่านเจ้าภาพและแขกผู้มีเกียรติ ที่เคารพรักทุกท่าน
ชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์ ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อครอบครัวของท่านอาจารย์พิไลลักษณ์ ศรีทิน ที่ได้สูญเสียท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ผู้เป็นสามีอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาพบเห็นกันอีกตลอดไป ท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน ได้สมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์ตั้งแต่วันที่ท่านเกษียณอายุราชการ โดยได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการเมื่อวันที่ 30 .เดือน กันยายน พ.ศ.2547เป็นสมาชิกลำดับที่ … ตลอดระยะเวลาที่เป็นประธานของชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์ ท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกิจกรรมของชมรมทุกอย่าง รวมทั้งพัฒนาให้ดีขึ้นทุกด้าน
บัดนี้ท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน ได้จากพวกเราไปแล้ว ยังคงเหลือแต่คุณความดีที่ท่านได้กระทำไว้ ซึ่งยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ทุกคนอย่างไม่มีวันลืม
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนะตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณความดีที่ท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน ได้กระทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ตลอดถึงกุศลกรรมที่ภรรยา ลูกหลาน ญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ได้ร่วมกันทำอุทิศให้ในวันนี้ ได้โปรดดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของท่าน ผอ.ชัยรบ ศรีทิน ได้ไปสู่สุคติในสัมปรายภพดังที่ปรารถนาด้วย เทอญ
ด้วยความอาลัยยิ่ง
จาก ชมรมผู้สูงอายุอำเภอเจริญศิลป์
พิธีกร….ลำดับต่อไปเจ้าภาพมอบทุนการศึกษา เรียนเชิญคุณพิไลลักษณ์ ศรีทิน ผู้มอบที่หน้าเมรุครับ และเรียนเชิญตัวแทนโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ท่านอาจารย์สมศักดิ์ ขุนทูล เป็นผู้รับมอบ ครับ
พิธีกร…… ต่อไปเป็นการทอดผ้าไตรบังสุลและผ้ามหาบังสุกุลบนเมรุ งานนี้เจ้าภาพมีศรัทธามากเป็นพิเศษ ได้เตรียมผ้าไตรบังสุกุลจำนวน 3 ชุด และผ้ามหาบังสุกุลหรือผ้าบังสุกุลชุดใหญ่ไว้ทอดถวายอีก 1 ชุด
พิธีกร……ขอเรียนเชิญคุณ………………………………ให้เกียรติเป็นผู้ทอดผ้าไตรบังสุกุลชุดที่ 1 และกราบนิมนต์พระอาจารย์……………….. เป็นผู้พิจารณาชักผ้าไตรบังสุกุล ขอเรียนเชิญ และขอกราบนิมนต์ ครับ และเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านหันหน้าไปทางเมรุ ประณมมือร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันครับ
(เสร็จแล้ว)
พิธีกร……ขอเรียนเชิญคุณ………………………………………………..ให้เกียรติเป็นผู้ทอดผ้าไตรบังสุกุลชุดที่ 2 และกราบนิมนต์พระอาจารย์………………………………… เป็นผู้พิจารณาชักผ้าไตรบังสุกุล ขอเรียนเชิญ และขอกราบนิมนต์ ครับ
(เสร็จแล้ว)
พิธีกร……ขอเรียนเชิญคุณ………………………………………………..ให้เกียรติเป็นผู้ทอดผ้าไตรบังสุกุลชุดที่ 3 และกราบนิมนต์พระอาจารย์………………………………… เป็นผู้พิจารณาชักผ้าไตรบังสุกุล ขอเรียนเชิญ และขอกราบนิมนต์ ครับ
(เสร็จแล้ว)
พิธีกร……ลำดับสุดท้ายขอเรียนเชิญคุณ…………………………………ให้เกียรติเป็นผู้ทอดผ้ามหาบังสุกุลและกราบนิมนต์อาจารย์………………………………… เป็นผู้พิจารณาชักผ้ามหาบังบังสุกุล ขอเรียนเชิญ และขอกราบนิมนต์ ครับ และเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านประณมมือร่วมอนุโมทนาบุญ ตั้งอธิษฐานส่งดวงวิญญาณคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ไปสู่สุคติด้วยกันครับ
(เสร็จแล้ว)
พิธีกร….ลำดับสุดท้ายเป็นการวางดอกไม้จันทน์
ขอกราบนิมนต์พระคุณเจ้าทุกรูปได้โปรดวางดอกไม้จันทน์เพื่อเป็นการโปรดคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ไปสู่สุคติด้วยครับ …….-ขอกราบนิมนต์ครับ
และขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมวางดอกไม้จันทน์ เพื่อเป็นการไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน ไปสู่สุคติเป็นครั้งสุดท้ายด้วยครับ ขอเรียนเชิญทุกท่านครับ
(ขณะทุกคนกำลังเข้าแถววางดอกไม้จันทน์)
พิธีกรอ่านผญา(กลอนอีสาน)ต่อไปนี้
อันว่างัวควายช้าง วางขันธ์มรณาต
ยังมีเขางากระดูกเนื้อ เหลือไว้ฝากคน
สกนธ์กายคนนี้ ยามตายสูญเปล่า แท้นา
เหลือแต่ดีชั่วฮ้าย พลอยค้างโลกคน ท่านเอย
…………………………………….
ยามเฮาเกิดมานั้น บ่มีหยังจักอย่าง
มาแต่โตล้อนจ้อน ส่งในน้อยกะบ่มี
เฮามาสู่โลกนี้ มีทรัพย์สินตั้งหลายอย่าง
ทั้งเงินทองรถบ้าน นาฮั้วไฮ่สวน
เฮามีจนครบถ้วน สรรพสิ่งอำนวยสุข
แต่กะหนีความทุกข์ ย้อนสังขารบ่พ้น
บ่ว่าจนมีนั้น เป็นนำกันคือเจ็บป่วย
เคยหร่อสวยเป็นผู้ฮ้าย ยานต้วบต้วยจ่อยผอม
ผมบ่ย้อมหงอกขาว สีดอกเลาแปงแซง
แฮงเคยหลายกะเหลือหน่อย ถอยหลังล้มท่าเดียว
เหลียวเห็นคนเป็นสองหน้า สี่หูตาหน้าเปิงเคิง
เบิ่งตั้งเหิงกะจั่งฮู้ หลานกูตั้วะนี่ นึกว่าไผ
บาดถึงคราวตายนั้น ไผมันห้ามบ่อยู่
แม่นสิรวยล้นฟ้า เกิดมาแล้วกะต้องตาย
บ่มีไผเอาไปได้ สรรพสิ่งเงินทอง
ทรัพย์สมบัติทั้งผอง เอาไปนำบ่ได้
เงินบาทเดียวลูกหลานให้ กะยังคงคือเก่า
เขี่ยเอาตอนแจกข้าว พากันเว้าเงินปากผี
เหลือแต่ชั่วดีฮ้าย ติดโตเฮาไปสู่บ่อน
ตอนเฮาตายจั่งสิฮู้ ว่าตายแล้วยากส่ำใด
กรรมดีดึงเฮาขึ้น กรรมชั่วทรามผัดมาจ่อง
หวังสิได้ขึ่นสวรรค์ข้องน้อง ผัดจ่องไว้เป็นเผดผี
หม่องใดดีสิไปเกิด ผัดยาดแย่งบ่ทันเขา
ได้แต่เนาทนทุกข์ เป็นเผดผีบ่มีหม่องจั้ง
หวังลูกหลานทำบุญให้ หลายปีกะบ่เฮ็ดให่จักเทือ
สิเมือบอกพวกเขากะบ่ได้ ยมบาลฮ้ายบ่ให้มา
ย้อนผลาเฮ็ดไว้หน่อย ได้แต่คอยหมากม่วงหล่น
บ่ทันเจ้าของต้น เพินสอยได้ก่อนเฮา
ย้อนว่าบุญเฮาหน่อย กรรมดีที่เฮาก่อ
หลายบ่พอส่งเฮฺาไปเกิดได้ ยมบาลให้ซ่อยงาน
ทั้งล้างจานล้างหม้อ ก่อไฟใส่หม้อกระทะใหญ่
ไล่แทงพวกที่ทำบาปฮ้าย ถีบลงหม้อแม่นเมื่อยหลาย
คันแม่นทำบุญไว้ เถิงยามตายสิบ่ยาก
ตายจากไปมื้อนี้ มีผู้เอิ้นขึ้นสวรรค์
แห่นำกันยืดยืด ขึ้นสวรรค์เมืองมวน
นางฟ้าชวนไปนอนซ้อน เมืองฟ้าจังแมนหลาย
สนุกบายสนุกคั้น สาวสวรรค์จนว่าเมือย
ผู้เพิ่นเคยขึ่นสวรรค์บอกไว้ ได้ฟังแล้วให้ฮำฮอน
ตอนยังมีชีวิตนั้น หมั่นทำบุญเอาไว้แน
บุญกุศลนั้นเสี่ยวแท้ ดูแลเฮาเจ้าบาดท่าตาย พี่น้องเอย
………………………………………………………………………………..
หรืออ่านกลอนชักชวนทำความดีต่อไปนี้ หรือกลอนคติธรรมของนักปราชญ์ท่านอื่นก็ได้
…………………………………..
กลอนชักชวนทำความดี
…………………………………..
ยามมาเกิด เราก็มา แต่ตัวเปล่า
ใครบ้างเล่า ใส่เสื้อผ้า มาเกิดบ้าง
เกิดมาแล้ว หาทรัพย์สิน จนวายวาง
ได้มากบ้าง น้อยบ้าง ต่างกันไป
แต่เมื่อตาย วายวาง สังขารแล้ว
คนมีแก้ว แหวนทอง เงินกองใหญ่
กับคนจน ยากไร้ ไม่มีอะไร
ต่างก็ไป ตัวเปล่า เท่าเทียมกัน
เงินเหรียญบาท ที่อมไว้ คราตายนั้น
พวกลูกหลาน ยังเอาคืน เป็นเงินขวัญ
ตายไปแล้ว หมดสิ้น ทุกสิ่งอัน
เหลือผูกพัน เพียงบุญกรรม ที่ทำมา
ว่าจะส่ง วิญญาณเรา ไปไหนบ้าง
ส่งไปเกิด เป็นลิงค่าง อนาถา
ส่งไปเกิด เป็นนาคครุฑ เทวดา
หรือส่งมา เกิดหล่อสวย รวยเงินทอง
หรือส่งไป รับใช้ ในนรก
ยมบาลโขลก -สับใช้งาน สยดสยอง
ให้ถีบสัตว์ -นรกลง กระทะทอง
หรือถูกถอง ถีบลง กระทะเอง
หากกรรมดี เราทำ เอาไว้มาก
ไม่ยุ่งยาก เพราะกรรมดี มีชื่อเสียง
ยมทูต จดไว้ ไม่ลำเอียง
เมื่อเราเพียง ขาดใจ ก็ไปดี
ได้ไปสู่ สรวงสวรรค์ บนชั้นฟ้า
เป็นเทวา เสวยสุข เกษมศรี
เพราะกุศล ผลบุญ คุณความดี
ดลให้มี เป็นได้ ดั่งใจเรา
ถ้าเราทำ กรรมดี ทีละน้อย
ทำบ่อยบ่อย จะสดชื่น ไม่อับเฉา
การกระทำ นำลิขิต ชีวิตเรา
กรรมคือเงา ติดตามตน จนวันตาย
กรรมจะตาม เราไป ไม่ลดละ
ไม่ว่าจะ ไปแห่งหน ตำบลไหน
จะไปอยู่ อาณาเขต ประเทศใด
กรรมจะไป เกาะประชิด เฝ้าติดตาม
จะกี่ภพ กี่ชาติ กี่ศัตวรรษ
กรรมจะมัด เราไว้ ให้แบกหาม
ถ้ากรรมดี เกาะประชิด เฝ้าติดตาม
จะแห่หาม ส่งเราไป ให้ได้ดี
ถ้ากรรมชั่ว ตามทัน ผูกพันไว้
เรื่องเลวร้าย จะรุมรุก ทุกวิถี
จะยืนเดิน นอนนั่ง ยังราวี
รุมต่อยตี ให้ลำบาก ทุกข์ยากจน
ทำกรรมดี เอาไว้ให้ ตัวเองบ้าง
ด้วยการสร้าง สะสมทุน บุญกุศล
เพราะผลกรรม นำลิขิต ชีวิตคน
ที่หมุนวน เวียนว่าย ตายเกิดตาย
…………………………………..
เจ้าภาพหรือพิธีกรกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงานขณะวางดอกไม้จันทน์
กราบเรียน ท่านผู้มีเกียรติ ที่เคารพรักทุกท่าน
การจัดงานฌาปนกิจศพคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์ ครั้งนี้ สำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยด้วยดี เนื่องจากได้รับความความร่วมแรงร่วมใจจากท่านผู้มีเกียรติ ลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งบ้านใกล้บ้านไกล ซึ่งต่างเดินทางมาร่วมงานทั้งที่บ้าน และที่วัดแห่งนี้ด้วยความรักและความอาลัย กระผมในนามเจ้าภาพขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งไว้ ณ โอกาสนี้ …ขอบพระคุณคณะแพทย์และพยาบาลทุกท่านทั้งจากโรงพยาบาลเจริญศิลป์ โรงพยาบาลสกลนคร และโรงพยาบาลอุดรธานี ที่กรุณารักษาพยาบาลคุณพ่อชัยรบ ศรีทิน อย่างสุดความสามารถและดีที่สุด ขอบพระคุณนายอำเภอเจริญศิลป์ที่กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานทอดผ้ามหาบังสุกุล ขอบพระคุณท่านกษม โสมศรีแพง รองหัวหน้าเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 2 ท่านเจริญ ราโสภา รองหัวหน้าเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 2 ท่านสส.เสรี สาระนันท์ ท่าน อดีต สส.วิรัตน์ ตยางคนนท์ ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญศิลป์ ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนทั้งอดีตและปัจจุบันที่กรุณาให้เกียรติร่วมทอดผ้าบังสุกุล ขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลโรงพยาบาลเจริญศิลป์ทุกท่านที่กรุณามาร่วมไว้อาลัย ขอบพระคุณสมาชิกสภาเทศบาลตำบลเจริญศิลป์ทุกท่าน ข้าราชการ ลูกจ้างสำนักงานเทศบาลตำบลเจริญศิลป์ทุกท่าน ขอบพระคุณคณะครูอาจารย์โรงเรียนอนุบาลเจริญศิลป์และคณะแม่บ้านบ้านเจริญศิลป์ทุกท่านที่กรุณาช่วยจัดหาพวงหรีด และจัดดอกไม้ประดับตกแต่งหีบศพให้สวยงามรวมทั้งมาร่วมงานในครั้งนี้ …ขอบพระคุณแม่ครัวทุกท่านที่กรุณาจัดอาหารและเครื่องดื่มบริการแขกผู้มี เกียรติจนเสร็จงาน ขาดตกบกพร่องประการใด ในนามเจ้าภาพขอกราบอภัยเป็นอย่างมากไว้ ณ โอกาสนี้
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีหลวงพ่อองค์ดำ เป็นต้น ตลอดถึงคุณความดีที่เราทั้งหลายได้มาร่วมกระทำบำเพ็ญในวันนี้ ได้โปรดดลบันดาลให้ทุกท่านและครอบครัว จงประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เทอญ
สวัสดีครับ
พิธีกรอาจจะขอบคุณและอวยพรแขกด้วยกลอนสุภาพส่งท้ายต่อไปนี้
พิธีกร….
ขอขอบคุณ ทุกท่าน ที่เคารพ
มางานศพ เผาพ่อใหญ่ ในวันนี้
ขอขอบคุณ ทุกนำ้ใจ ทุกไมตรี
ไม่รู้ที่ หาสิ่งมอบ ตอบแทนคุณ
จึงเรียงร้อย ถ้อยคำ ด้วยสำนึก
น้อมระลึก คุณความดี ที่เกื้อหนุน
กราบวิงวอน คุณพระป้อง ประทานคุณ
เกื้อนำหนุน ให้ทุกท่าน เบิกบานใจ
ให้อยู่ดี มีสุข ไม่ทุกข์ร้อน
นั่งกินนอน สุขสม อารมณ์หมาย
ได้มีเป็น เช่นที่หวัง ทุกอย่างไป
แสนสบาย หล่อสวยใส ดั่งวัยทีน
ให้มีเงิน เต็มห้อง ทองเต็มบ้าน
ทุกคืนวัน หล่อสวย รวยทรัพย์สิน
เกียรติปรากฎ ก้องหล้า คู่ฟ้าดิน
ประสบสิน ภิญโญสุข ทุกท่านเทอญ
สวัสดีครับ
หรือขอบคุณแขกด้วยกลอนอีสานต่อไปนี้…..
ขอบพระคุณทุกท่าน ที่มางานเผาพ่อใหญ่
ทั้งบ้านเหนือบ้านใต้ ทั้งไกลใกล้ที่หลั่งมา
สุดสิหาคำเว้า เอามากล่าวได้ทั้งเมิด
ได้แต่เพียงกลั่นกรอง จากใจเอามาเว้า
ขอบพระคุณหมู่เจ้า หลายหลายอีกล้านเทือ
เผาพ่อใหญ่แล้วเมือให่เจ้าได้ สมใจเจ้าปรารถนา
การงานให้ก้าวหน่า การเงินกะให่คล่อง
การทองกะให่ได้ การบ้านให่มวนมัน
การอันใด๋กะให่ได้ สมดังมะโนหมาย
สุขสำบายปานพระยา อยู่ดีอย่ามีฮ้อน
ให่ได้พรพระอินทร์เจ้า ร้อยซาวปีบ่เถ่าบ่แก่
ดูแลกันคืออ้ายน้อง ฮักแพงมั่นบ่หน่ายกัน
ให่สุขสันต์ซาบซ่า สารพันมวนซืน
อายุยืนฮอดร้อย ห่าสิบปีถ่วนคู่สู่คน เด้อ
สวัสดีครับ
…………………………………………………………………………………
จบบริบูรณ์
54 Comments
ข้อมูลที่ผมได้อ่านทั้งหมดดีมากเลยครับ เมื่อ10 ปีที่แล้วผมจะได้รับเชิญให้เป็นพิธีกรอยู่บ่อยครั้ง พอมาระยะหลังๆผมห่างเวทีมานานมาก พอได้รับเชิญเป็นพิธีกรผมจะปฏิเสธแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ปัญหาของผมคือ 1. ห่างเวทีมานานมาก่จะรู้สึกว่าประหม่าเวทีแล้ว 2. การพูดกล่าวนำผมพูดไม่เก่งและไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ยิ่งในช่วงเวลาที่เกิดช่องว่าง ระหว่างรอประธาน หรือรอใครสักคนเชิญขึ้นกล่าวบนเวทีแล้วผมไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดอะไรมาพูดช่วงระหว่างรอ 3.ผมไม่ทราบว่าแต่ละงานที่ไปเป็นพิธีกรนั้นเขามีสคริปต์กันอย่างไร (ส่วนมากเจ้าภาพจะให้เราเป็นผู้จัดสคริปต์หรือขั้นตอนพิธีการต่างๆเอง เพราะเจ้าภาพไม่ถนักเรื่องนี้ สรุปสุดท้าย..และท้ายสุดขอฝากเนื้อฝากตัวพ่อครูดอทคอม ช่วยแนะด้วยนะครับ อขบพระคุณมากครับ
คุณ Sompon ครับ
พ่อครูคิดว่างานพิธีกรควรใช้คนหนุ่มสาวเขาทำจะดูดีกว่า เพราะเป็นงานรับใช้ เชิญคนนั้น กราบเรียนคนนี้ ส่วนเราเป็นผู้อาวุโสแล้วไม่อยากกราบคนนั้นกราบคนนี้ จึงไปร่วมเป็นแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น พ่อครูก็ห่างเหินเวทีไปนานร่วมยี่สิบปีแล้วเช่นเดียวกัน ถ้าคุณ Sompon ยังมีไฟในเรื่องนี้อยู่ปรมาจารย์ด้านการพูดแนะนำไว้ว่า 1. วิธีแก้การประหม่าเวทีนั้นให้นึกว่าเรากำลังพูดให้เด็ก ๆ ฟัง ถ้ายังแก้ไม่หายให้นึกว่าเรากำลังพูดให้หมาฟัง 2. การพูดระหว่างรอไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ เพราะอาจก่อความรำคาญให้ผู้ฟังได้ แต่ถ้าอยากจะพูดขอแนะนำให้ฝึกการเขียนสคริปต์พิธีกรงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง จะได้เกิดจินตนาการว่าเราควรพูดอะไรบ้างในระหว่างรอ 3. สคริปต์ที่พ่อครูเขียนไว้เยอะมาก คุณ Sompon ลองคลิกเข้าไปอ่านดูอาจจะได้ข้อคิดว่าควรจะตัดต่อแต่งเติมเสริมเพิ่มอะไรบ้างเพื่อให้งานนั้น ๆ สมบูรณ์ดังที่เราต้องการ ….. สวัสดีครับ
การเป็นพิธีกรงานศพ คำว่าผ้ามหาบังสุกุล น่าจะเปลียนเป็น ผ้าบังสุกุล
มหา แปลว่า ใหญ่มาก ดังนั้น ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ยิ่งใหญ่ น่าลองทบทวนนะครับ
คุณ utai ครับ
ในภาษาบาลีนั้น คำคุณศัพท์จะเรียงไว้ข้างหน้าเสมอเช่น จัตตาโร(สี่) + ธัมมา(ธรรม)เป็น จัตตาโรธัมมา แปลว่า ธรรมสี่ประการ เช่นเดียวกับคำว่า มหาบังสุกุล ก็มาจากคำว่า มหา(ใหญ่)+บังสุกุล(ของที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว หรือของที่ไม่มีเจ้าของ) เมื่อเรานำมาใช้ในภาษาไทยว่า ผ้ามหาบังสุกุล ก็หมายถึงผ้าจำนวนมากที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว หรือผ้าผืนใหญ่ที่ไม่มีเจ้าของ สมัยพ่อครูยังบวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านนอกได้มีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปพิจารณาผ้าบังสุกุลหลายครั้งจนจำได้ขึ้นใจ เรื่องนี้มีว่าผู้ประสงค์จะถวายผ้าบังสุกุลจะชักชวนญาติพี่น้องหามแห่คุถังบรรจุปัจจัยสี่ที่พระจำเป็นต้องใช้มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา และหนึ่งในนั้นคือผ้าสบงหนึ่งผืนไปวางไว้บนเสื่อที่ปูเตรียมไว้หลังต้นไม้ภายในวัดในเวลากลางคืนประมาณสองทุ่ม แล้วแอบอยู่บริเวณใกล้เคียง จากนั้นก็ไปกระซิบให้มรรคนายกไปส่งข่าวพระอาจารย์โดยพูดว่า กระผมพบกองผ้าที่เขาทิ้งไว้หลังต้นไม้ หากพระอาจารย์มีความประสงค์จะทำเป็นจีวรน่าจะใช้ได้ จึงขอนิมนต์พระอาจารย์ไปพิจารณา หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็จะห่มจีวรเรียกเณรไปเป็นเพื่อนเดินตามหลังมัคนายกไป เมื่อไปถึงพระอาจารย์จะเดินดูรอบ ๆ พร้อมเอ่ยปากถามสามครั้งว่า ผ้านี้มีเจ้าของหรือไม่ ถ้ามีโปรดแสดงตัวด้วย ถ้าไม่มีใครเป็นเจ้าของอาตมาจะนำผ้านี้ไปทำจีวร หลังจากนั้นท่านก็จะนั่งบนเสื่อทำพิธีพิจารณาผ้าบังสุกุลและให้พรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของผ้าบังสุกุล เจ้าภาพซึ่งแอบนั่งประนมมือรับพรในที่มืดก็จะโผล่ออกมาช่วยกันเก็บผ้าบังสุกุลและของบริวารตามหลังท่านไปถวายท่านที่กุฏิ ปัจจุบันการถวายผ้าบังสุกุลได้เปลี่ยนเป็นถวายต่อหน้าพระเลย โดยไม่ต้องหลบซ่อนเหมือนสมัยก่อน พิธีกรรมไม่มีถูกหรือผิดแต่ให้ยึดความเหมาะสมเป็นหลักครับ ส่วนที่คุณเสนอให้ใช้ว่า ผ้าบังสุกุลมหา คงไม่ถูกหลักภาษาครับ และความหมายอาจเปลี่ยนไปเป็น ผ้าบังสุกุลของท่านมหา เหมือนคำว่า มหาโจร หมายถึงโจรใหญ่ ถ้าเปลี่ยนเป็นโจรมหา ก็หมายความว่าโจรคนนั้นเป็นมหา กองขี้ควาย ถ้าเปลี่ยนเป็น กองควายขี้ ขี้ควายกอง ขี้กองควาย หรือควายขี้กอง ความหมายจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนกันครับ สวัสดีครับ
จะผืนเล็ก ผืนใหญ่ก็ถือว่าเป็นผ้าบังสุกุล ครับ ผ้ามหาบังสุกุล มีคือตอนที่พระพุทธเจ้าท่านพิจารณา ครั้งแรก
คุณมหามนตรี ครับ
ภาษาไทยมีคำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายคำนามมากมายเพื่อสื่อความหมายสิ่งที่พูดถึงซึ่งพอพูดถึงปั๊บก็สามารถทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพได้ชัดเจนทันที คำคุณศัพท์เหล่านี้วางไว้ข้างหน้าคำนามบ้างเช่น มหาเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี มหาโจร อภิมหาโจร มหากฐิน มหาราชา มหาบัณฑิต เป็นต้น และวางไว้ข้างหลังคำนามบ้างเช่น รูจิ่งปิ่ง รูจ่องป่อง รูแจ่งแป่ง รูโจ่งโป่ง รูจื่งปื่ง และรูจ่างป่างตามลำดับเล็กสุดไปหาใหญ่สุด ส่วนความหมายก็แตกต่างกันไป ภาษาไทยยิ่งเรียนยิ่งสนุก นักการศาสนาควรเปิดใจให้กว้างเหมือนนักภาษาศาสตร์ไหมเอ่ย ถ้าท่านมหาจะพอใจยืนกระต่ายขาเดียวก็ตามใจไม่ว่ากันครับพี่น้องครับ
ดีมากค่ะ
ชัดเจนมากครับท่านอาจารย์ หวังว่าคนถามคงเข้าใจได้นะครับ เพราะไม่ได้สลับซับซ้อนขอเป็นกำลังใจครับ นี่แหละคนรู้จริง
คุณนันทชิน ครับ
งานพิธีกรศพนั้นแต่ละถิ่นที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่พ่อครูนำเสนอนั้นเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวว่าน่าจะครบถ้วนสมบูรณ์สอดคล้องเหมาะสมมากที่สุดเท่านั้น ซึ่งก็เขียนจากความรู้และประสบการณ์ส่วนตัวอีกเหมือนกัน ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นคล้อยตามก็นำไปใช้ได้ แต่ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นต่างก็ต้องหยุดการเผยแพร่และการนำไปใช้ พิธีการไม่มีผิดหรือถูก แต่เป็นเพียงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม สวัสดีครับ
เป็นตัวอย่างที่ดี สามารถปรับใช้ได้ทุกท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคอีสาน ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ให้ความรูประสบการณ์ดีๆกับพิธีกรรุ่นหลัง
จากการได้อ่านแล้วดีมากเลยครับเท่าที่ได้ทำมาบ้างก็พูดไปโดยไม่รู้เลยว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต่อไปนีคงจะถูกบ้างแล้วน่ะครับ ขอบพระคุณอย่างสูง
ขอบพระคุณพ่อครูดอทคอมที่ให้ความรู้รุ่นลูกหลาน ได้นำไปทำประโยชน์ให้ส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง
สวัสดีครับอาจารย์ ผมสงสัยอยู่ที่คำว่าพิจารณาผ้าครับ บางท่านก็บอกว่าควรใช้คำว่าชักผ้าคำว่าทอดก็แปลว่าวางยาวออกมาหาตัว พระเป็นผู้ไปชักออก เพราะคำว่าพิจารณาแปลตรงๆคือเพ่งเลงดูสังเกตดู ผมเลยงงว่าคารใช้คำไหนดี แต่ส่วนใหญ่ผมเห็นจะใช้คำว่าพิจารณา ขอความกระจ่างหน่อยนะครับอาจารย์ ขอบคุณครับ
คุณสมพงษ์ ครับ
คุณลองอ่านพิธีทอดผ้าบังสุกุลต่อไปนี้ โยมเป็นผู้นำผ้าไปทอดไว้หรือวางไว้ ส่วนพระเป็นผู้พิจารณาผ้านั้นด้วยการกล่าวคำพิจารณาเป็นภาษาบาลีว่า อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปาทะวะยะธัมมิโน อุปาชิตตะวานิรุชชันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข แปลเป็นไทยว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เกิดมาแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา การดับไปแห่งสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข กล่าวจบก็ชักหรือดึงผ้านั้นออกมาเพื่อนำไปใช้สอยตามพุทธานุญาต ให้คุณลองพิจารณาดูว่าเราจะใช้ประโยคไหนจึงจะเหมาะสมระหว่าง ก. กราบนิมนต์พระคุณเจ้าเป็นผู้ชักผ้าบังสุกุล ข. กราบนิมนต์พระคุณเจ้าเป็นผู้ดึงผ้าบังสุกุล หรือ ค. กราบนิมนต์พระคุณเจ้าเป็นผู้พิจารณาผ้าบังสุกุล คราวนี้เราลองมาดูคำว่า ชัก ดึง และพิจารณา คำว่าชักเมื่อผสมกับคำอื่นบางคำอาจมีความหมายไม่สู้จะดีนัก เช่นชักว่าว ชักดาบ ชักกระตุก เป็นต้น คำว่า ดึง ก็เหมือนกัน เช่น ดึงดัน ดึงเชือก ดึงหู ส่วนคำว่า พิจารณา เป็นคำที่ฟังดูสุขุมนุ่มลึกเหมาะที่จะนำมาใช้กับพระ เพราะชีวิตของพระจะทำอะไรก็ต้องพิจารณาก่อนเสมอแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นพิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออก พิจารณาอาหารก่อนฉัน เป็นต้น พ่อครูขอเลือกข้อ ค. เพราะฟังดูสุภาพเป็นการให้กียรติ แสดงความเคารพและให้พระท่านได้ตัดสินใจเองว่าหลังจากพิจารณาแล้วท่านจะชักหรือดึงผ้านั้นก็แล้วแต่ท่าน ซึ่งน่าจะเหมาะสมมากกว่าข้ออื่น ….สวัสดีปีใหม่ครับ
ผมอายุมากแล้วแต่เขาให้เป็นพิธีกรมันน่าเกียรติไหมครับ
คุณบุญหนา ครับ
ไม่น่าเกลียดหรอกครับ ผมเองก็อยากเป็นพิธีกรเหมือนกันแต่เสียงไม่ดี เล็ก แหบแห้ง เลยตัดสินใจขอเป็นผู้มีเกียรติของงานดีกว่า สำหรับคุณบุญหนาถึงแม้จะอาวุโสแล้วแต่ยังได้รับเกียรติจากลูกหลานให้เป็นพิธีกรถือสุดยอดครับ คุณโชคดีมากที่ได้ทำบุญสร้างบารมีในบั้นปลายของชีวิตซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้ สุดยอดครับ
ดีมากครับพ่อครุ ผมขอนำไปใช้บ่างนะครับ
คุณเข็มพร ครับ
ด้วยความยินดียิ่งครับ สวัสดีครับ
พ่อครูคะ ได้ยินว่า สำนักพุทธ ไม่มีคำว่าผ้ามหาบังสุกุล ดังนั้นการใช้คำว่ามหา เราควรใช้คำใดแทนจึงจะเหมาะสม เนื่องจากศรัทธาเจ้าภาพยังคงเป็น “มหา” อยู่ค่ะ
คุณถนิมรักษ์ ครับ
มีคำให้เราเลือกใช้อยู่ 2 คำคือ 1. ผ้ามหาบังสุกุล เป็นคำศัพท์ทีมีในพระไตรปิฎก 2. ผ้าไตรบังสุกุล เป็นคำศัพท์ที่นักปราชญ์ของไทยเราบัญญัติขึ้นใช้ในภายหลัง ทั้ง 2 คำ ใช้แทนกันได้ ที่คุณได้ยินมาว่าสำนักพุทธไม่มีคำว่าผ้ามหาบังสุกุลก็ไม่เป็นไร เพราะในพระไตรปิฎกมีคำว่าผ้ามหาบังสุกุลปรากฎอยู่ ถ้าพ่อครูเป็นพิธีกรจะเลือกใช้คำว่าผ้ามหาบังสุกุลตามที่มีมาในพระไตรปิฎกครับเพราะฟังดูเป็นสากล ยิ่งใหญ่ ขลังและศักดิ์สิทธิ์กว่าคำว่าผ้าไตรบังสุกุลที่นักปราชญ์ชาวไทยบัญญัติขึ้นมาใหม่ สวัสดีครับ
ขอขอบพระคุณมากค่ะพ่อครู ดิฉันจะนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมต่อไปค่ะ
กราบสวัสดี พ่อครู ขอรับ
กระผมได้รับความรู้ ประสบการณ์จากสิ่งที่พ่อครูแนะนำในสคลิปส์ ซึ่งผมได้รับเชิญ หรือมอบหมายให้ไปเป็นพิธีกรงานต่างๆ อยู่บ่อยๆ อาทิ งานมงคลสมรส (แบบบ้านๆ อีสานเรา) หรืองานฌาปนกิจศพ (อีสาน) ยอมรับ และขอบพระคุณพ่อครูอย่างยิ่งครับ ที่ได้ให้ความรู้ … เพราะได้รับการตอบรับจากเพื่อนๆ หรือเจ้าของงาน ว่า ครบถ้วน สมบูรณ์ดี เหมาะสมดี ขอรับ ( แต่บางงานอาจมีปัญหา ขั้นตอน ที่ต้องใช้ไหวพริบแก้ไขสถานการณ์ ตามเหตุ ปัจจัย ) ก็ทำให้ดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ สรุปรวมๆ ก็ได้ความรู้ จากท่าน พ่อครู ขอรับ …
คุณปราเมศวร์ วงศ์ ครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมครับ ขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้พ่อครูพล่ามอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีคุณปรเมศวร์แวะเข้ามาอ่านและนำไปปรับใช้ในงานต่าง ๆ สิ่งที่พ่อครูคิดและเขียนอาจจะยังไม่สมบูรณ์ดีนัก แต่พ่อครูก็ยังหวังลึก ๆ ว่า คงพอนำไปปรับใช้ได้บ้าง ขอบคุณอีกครั้งครับ สวัสดีครับ
ผมมือใหม่จริงๆครับ เพิ่งลองเป็นพิธีกรตามงานที่มีในหมู่บ้านตัวเอง เป็นญาติพี่น้องแค่สองสามครั้ง ขออนุญาตนำข้อมูลไปปรับใช้นะครับ ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ
คุณประยงค์ คนฉลาด ครับ
นามสกุลของคุณแปลกไม่เหมือนใครในโลกอย่างแน่นอน ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมและนำไปปรับใช้ครับ สวัสดีครับ
ขออนุญาต นะคะ ปี พศ.2554 ทางกรมศาศนา แนะนำขอให้เลิกใช้ คำว่า มหาบังสุกุล แล้ว นะคะ เราสมควรจะกระทำตาม น่าจะสมควร นะคะ ใช้เพียง คำว่า บังสุกุล และ ไตรบังสุกุล สำหรับท่านประธานในพิธี ลองเสวนาร่วมกันค่ะ ขอพระคุณอย่างยิ่ง
คุณบุษบา ครับ
แม้ทางกรมการศาสนาจะแนะนำให้เลิกใช้คำว่า ผ้ามหาบังสุกุล ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2554 โดยให้เหตุผลในทำนองว่าควรสงวนคำว่า ผ้ามหาบังสุกุลไว้สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น สำหรับพวกเราให้ใช้คำว่าผ้าไตรบังสุกุล ที่นักปราชญ์ในกรมการศาสนาบัญญัติขึ้นมา น่าจะเหมาะสมกว่า พ่อครูก็เลยแนะนำไปว่าทั้งสองคำใช้แทนกันได้ แถวบ้านพ่อครูมีพิธีกรหลายท่านบัญญัติคำศัพท์ขึ้นใช้เองว่า ผ้าไตรเอก ผ้าไตรเอกบังสุกุล ผ้าไตรรอง ผ้าไตรรองบังสุกุล ซึ่งก็สื่อความหมายได้ตรงประเด็นและใช้ได้เหมือนกัน พ่อครูคิดว่า ถ้าเราบัญญัติคำศัพท์ขึ้นใช้เองโดยไม่ยึดถือคำศัพท์ในพระไตรปิฎก ในอนาคตก็จะมีคำศัพท์ใหม่ ๆ ในเรื่องนี้เกิดขึ้นมากมาย จึงขอเสนอความเห็นในเรื่องนี้ว่า แล้วแต่ความเชื่อถือศรัทธา ถ้าเชื่อมั่นกรมการศาสนาก็ใช้ คำว่า ผ้าไตรบังสุกุล ถ้าเชื่อมั่นพระไตรปิฎกก็ใช้ ผ้ามหาบังสุกุล ถ้าเชื่อมั่นในตัวเองก็บัญญัติคำศัพท์ขึ้นมาใหม่ พิธีกรรมไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่เหมาะสมไม่เหมาะสม ควรไม่ควร เท่านั้นครับ……….สวัสดีครับ
ขอขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงที่ได้ถ่ายทอดความรู้แก่สาธารณะ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากค่ะ ตัวดิฉันเองได้ศึกษาขั้นตอนและเป็นพิธีกรงานศพครั้งแรกในชีวิต เคยเป็นแต่งานแต่ง งานวิชาการค่ะ การเรียนรู้ความรู้จากพ่อครูทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีและได้รับคำชื่นชมค่ะ
“ผู้เก่งเพียงตน หรือจะสู้ผู้สอนให้คนอื่นเก่ง” เยี่ยมจริงๆค่ะ
คุณนีรนุช ครับ
พ่อครูขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ คุณนีรนุชชมเกินไปแล้ว พ่อครูไม่ใช่ตำรานะครับ และพ่อครูเคยเป็นพิธีกรเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นเองครับ แต่พ่อครูก็พยายามเขียนให้ถูกต้องมากที่สุดด้วยการศึกษาค้นคว้าตำหรับตำราที่เกี่ยวข้องก่อนเขียน มั่นใจว่าถูกต้องแล้วจึงเขียนครับ แต่ความผิดพลาดบกพร่องย่อมมีได้เสมอ จึงควรปรับแต่งให้เหมาะสมก่อนนำไปใช้นะครับ ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ครับ …สวัสดีครับ
เคยเข้ารับการอบรมเป็นพิธิกร วิทยากรให้ใช้คำว่า ชักผ้าบังสุกุล แทนคำว่าพิจารณา เพราะพิจารณาใช้กับศพ แต่ปัจจุบันพิจารณาจากสิ่งอันเนื่องจากศพ เช่น ภูษาโยง ส่วนคำว่าพิจารณาไม่เหมาะสมผมจะใช้อย่างไรดี
คุณอัครินทร์ ครับ
พ่อครูได้ตอบคำถามคุณสมพงษ์เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2014 เป็นคำถามลักษณะเดียวกันนี้ไปแล้วครับ ถ้าคุณยังกังวลว่าจะใช้คำไหนดีระหว่างคำว่า ชักผ้าบังสุกุล กับคำว่า พิจารณาผ้าบังสุกุล คุณก็ทำเป่ายิงฉุ่มเอา ออกมาคำไหนก็เลือกคำนั้น เพราะถูกทั้งสองคำ หรือจะรวมคำทั้งสองเข้าด้วยกันเป็น กราบนิมนต์พระคุณเจ้าเป็นผู้พิจารณาชักผ้าบังสุกุล ก็ได้ครับ แต่ถ้าจะให้ชัวร์ก็ไปถามพระในวัดที่คุณจะไปเป็นพิธีกร ให้ท่านเลือกว่าจะให้ใช้คำไหน จะได้ไม่ถูกตำหนิในภายหลัง บางครั้งวิทยากรบางท่านที่มาให้ความรู้เราก็มีความรู้ไม่ลึกพอ พ่อครูมีเพื่อนที่เคยไปเป็นวิทยากรท่านหนึ่งไปทำพลาดอย่างแรง คือไปอธิบายคำว่าพระคุณเจ้าว่าให้ใช้กับพระที่เป็นเชื้อเจ้าเท่านั้น ส่วนพระที่ไม่ได้เป็นเชื้อเจ้าให้ใช้คำว่า พระคุณท่าน ซึ่งไม่ถูกต้อง คำศัพท์ที่ถูกต้องตามพจนานุกรมคือคำว่า พระคุณเจ้า เพราะหมายถึงพระภิกษุที่เคารพนับถือ ส่วนคำว่าพระคุณท่านไม่มีในพจนานุกรม แต่เคยได้ยินพระใช้เรียกขานกันเองในหมู่พระด้วยกันเท่านั้น
เรียน พ่อครูครับ
ผมจะใช้คำว่า ประธานทอดผ้าบังสุกุลได้ไหมครับ เพราะถ้าเลิกใช้คำว่าผ้ามหาบังสุกุล เราก็น่าจะใช้ว่า ” ขอเรียนเชิญ คุณ …… เป็นประธานทอดผ้าบังสุกุล ” แทน ซึ่งผมได้ไปอบรมมาก็ได้ยินว่าให้เลิกใช้ผ้ามหาบังสุกุล เหตุผล 1. ผ้ามหาบังสุกุล ควรจะใช้สำหรับพระพุทธเจ้าที่ชักผ้าบังสุกุลเป็นคร้ังแรก เป็นผ้ามหาบังสุกุล 2. ความหมาย บังสุกุล แปลว่า เปื้อนฝุ่น หรือคลุกฝุ่น ถ้ามหาบังสุกุล ก็หมายถึงเปื้อนฝุ่นมาก ผ้ามหาบังสุกุล ก็คือผ้าที่เปื้อนฝุ่นมาก ๆ นั่นเอง
เรียนมาด้วยความเคารพ
คุณอรุณ ครับ
ไม่ได้ครับ เพราะผ้าที่เจ้าภาพเตรียมไว้เป็นผ้าชุดสามผืน ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า ผ้าไตร(ไตรแปลว่าสาม) กรมการศาสนาได้บัญญัติคำศัพท์ขึ้นใหม่ว่า ผ้าไตรบังสุกุล ให้ใช้แทนคำว่าผ้ามหาบังสุกุล คุณก็ใช้ว่า ขอเรียนเชิญ คุณ …… เป็นประธานทอดผ้าไตรบังสุกุล ครั้งพุทธกาลมีภิกษุไปชักเอาผ้าที่เจ้าของเขาตากไว้จึงเกิดเรื่องร้องเรียนถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงบัญัติว่า คำว่าผ้าบังสุกุล หมายถึงผ้าที่ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว มิได้หมายถึงผ้าเปื้อนฝุ่นอย่างที่คุณเข้าใจ เพราะถ้าพระภิกษุไปชักเอาผ้าเปื้อนฝุ่นที่มีเจ้าของหรือเจ้าของเขาหวงแหนก็ต้องอาบัติปาราชิกและถูกจับสึกติดคุก……สวัสดีครับ
ขอเรียนถามตอนทอดผ้า ระหว่างพระท่านพิจารณาเคยประนมมือ พิธีกรท่านหนึ่งบอกไม่ต้องประนมมือ อันไหนถูกครับ
คุณสมรรถ วรรณฟัก ครับ
ประนมมือน่าจะเหมาะสมกว่าครับ เพราะเป็นการกระทำความดีที่ครบองค์ 3 คือ กาย วาจา และใจ ด้วยการประนมมือ ตั้งจิตอธิษฐาน และกล่าวอนุโมทนาบุญเพื่อส่งดวงวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ
ระหว่างกราบนมัสการพระคุณเจ้า กับ กราบนมัสการพระคุณท่าน ใช่แบบไหนถูกคับ
คุณ Surasit ครับ
ใช้ว่า กราบนมัสการพระคุณเจ้า จึงจะถูกต้องครับ
ขออนุญาตนำไปประยุกต์ใช้ในงานฌาปนกิจคุณพ่อนะครับ
ขอขอบพระคุณ และขออานิสงค์แห่งบุญนี้ช่วยหนุนนำพ่อครูให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดไปครับ
คุณวุฒิกุล โอเจริญ ครับ
ด้วยความยินดียิ่งครับ ขอบคุณที่อวยพรให้ครับ ขอให้พรที่ให้นั้นย้อนคืนสู่คุณวุฒิกุลเช่นเดียวกันครับ
เนื่องด้วยเจ้านายเริ่มมอบหมายงาน และไม่เคยเป็นพิธีกรที่ต้องเป็นพิธีการ ทำการค้นหาข้อมูล ได้อ่านแล้วเพิ่มพูนความรู้มาก มีหลักเพื่อนำไปปรับใช้ ขอขอบพระคุณพ่อครูมากนะคะ
ดิฉัน ได้รับความรู้อย่างมาก ขอบพระคุณค่ะ เป็นพิธีกรมือใหม่ค่ะ ได้สคริปนี้ช่วยชีวิต ได้รับการชื่นชมมากๆ ขอฝากตัวเป็นศิษย์นะคะ.
คุณนฤมล ครับ
ขอต้อนรับด้วยความยินดียิ่งครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกกล่าวนะครับ ยินดีเสมอครับ ถึงพ่อครูจะอายุมากแล้วแต่ร่างกายยังแข็งแกร่ง เล่นกีฬาแบดมินตันกับวัยรุ่นทุกเย็นได้คู่คี่สูสี และสมองก็ยังโชติช่วงชัชวาลย์เหมือนเดิมครับ
กราบพ่อครูครับ
นับเป็นองค์ความรู้ที่ดีมากครับ มั่นใจมากขึ้น รอบรู้มากขึ้นในขณะเป็นพิธีกร ขออนุญาตให้พ่อครูสรุปขั้นตอนสั้นๆในการเป็นพิธีกรงานณาปนกิจศพครับ เพื่อให้มองเห็นภาพรวม และสดวกในการใช้งาน ขอขอบพระคุณครับ
กราบพ่อครูครับ
นับเป็นองค์ความรู้ที่ดีมากครับ มั่นใจมากขึ้น รอบรู้มากขึ้นในขณะเป็นพิธีกร ขออนุญาตให้พ่อครูสรุปขั้นตอนสั้นๆในการเป็นพิธีกรงานณาปนกิจศพครับ เพื่อให้มองเห็นภาพรวม และสดวกในการใช้งาน ขอขอบพระคุณครับ
คุณ Khon Meaklong ครับ
พ่อครูไม่ถนัดเรื่องสรุปจึงไม่สรุป เพราะถ้าไม่ถนัดเรื่องสรุปแล้วยังสรุป สรุปก็อาจจะไม่เป็นสรุป จึงมีคำแนะนำว่า นำสคริปต์นี้ไปปรับแต่งให้เหมาะสมกับงานแล้วก็ใช้เลยจะดีกว่าให้พ่อครูสรุปครับ
ขอบพระคุณพ่อครูครับ ดีครับตรงๆดี จะใช้แนวคิดของพ่อครูครับ
กราบพ่อครูครับ
มีความสงสัยครับ
ในช่วงของการยืนไว้อาลัย แบบของพ่อครู จะต่อจากอ่านประวัติผู้วายชนม์ และเชิญผู้มีเกียรติทอดผ้าบังสุกุล จนถึงผืนสุดท้ายทอดผ้ามหาบังสุกุล **ผมใช้แนวทางของพ่อครูครับ
ผมสืบค้นพบอีกแบบครับ เมื่ออ่านประวัติฯเสร็จเชิญผู้มีเกียรติทอดผ้าบังสุกุล ก่อนทอดผ้ามหาบังสุกุล ให้ผู้มีเกียติยืนสงบนิ่ง แล้วจึงเชิญประธานทอดผ้ามหาบังสุกุล..แบบนี้ ถูก ผิด อย่างไรครับ ขอบพระคุณพ่อครูครับ
คุณ khon Meaklong ครับ
ประเพณีไม่มีผิดหรือถูก มีแต่ว่าแนวทางไหนจะเหมาะสมกว่ากัน ความเห็นของพ่อครูว่า การสงบนิ่งก็น่าจะอยู่หลังการอ่านประวัติผู้ตายเพราะงานนี้ผู้ตายสำคัญที่สุด แต่ถ้าให้ความสำคัญแก่ประธานมากกว่าผู้ตายการสงบนิ่งก็น่าจะอยู่ก่อนประธานขึ้นทอดผ้ามหาบังสุกุลบนเมรุเพราะงานนี้ประธานสำคัญที่สุด พิธีกรจะตัดสินใจเลือกแนวทางไหนก็ได้เพราะงานนี้พิธีกรใหญ่ที่สุด เสียงดังที่สุด และสามารถสั่งให้ทุกคนทั้งพระและฆราวาสที่มาร่วมงานทำตามได้โดยไม่มีใครขัดขืน
ขอขอบคุณ ที่ให้ความรู้ และมีตัวอย่างให้นะคะ ดิฉันกำลังจะเผาศพคุณแม่ ในวันอาทิตย์นี้ แต่ที่บ้านเรามีแต่ลูกสาว เลยมีคำถาม 2 ข้อคะ
1. ตอนแรกตั้งใจจะให้หลานสาวเป็นพิธีกร และอ่านประวัติคุณยาย จะเหมาะสมไหมคะ หรือควรให้ลูกสาวอ่านจะดีกว่า
2. จำเป็นต้องอ่านบทกลอนไหมคะ แต่งกลอนไม่เก่ง และที่มีเป็นตัวอย่าง อาจจะไม่ตรงนัก แต่คุณแม่เป็นที่รักของเรามาก เพราะท่านเลี้ยงพวกเรามาโดยลำพัง เนื่องจาก คุณพ่อเสียตั้งแต่เล็ก จริงๆ อยากแสดงความรัก เคารพ และอาลัย ในครั้งสุดท้ายให้ดีที่สุด พูดเบรรยายป็นร้อยแก้ว ก็ได้ใช่ไหมคะ
และจะขออนุญาตนำบทของพ่อครูไปปรับนะคะ
ขอบคุณมากคะ
คุณจันทรา ทองคำเภา ครับ
พ่อครูขอแสดงความเสียใจด้วยคนครับ ครอบครัวของคุณมีแต่ลูกสาวก็น่าจะอบอุ่นกว่าครอบครัวของพ่อครูซึ่งมีแต่ลูกชาย ที่ถามพ่อครูตอบดังนี้
1. ถ้าคุณเป็นพิธีกรได้เองจะดีมาก ถ้าไม่อยากเป็นก็ให้ลูกสาวเป็น แต่ถ้าลูกสาวไม่เหมาะสมคุณก็ให้หลานสาวเป็นแทนก็ได้ หรือจะไปขอร้องจ้างวานให้คนอื่นเป็นให้ก็ไม่มีปัญหาครับ
2. คุณลองเขียนคำไว้อาลัยเป็นบทร้อยแก้วกับคัดเลือกบทร้อยกรองไว้อาลัยที่น่าจะเหมาะสมกับผู้ตาย นำมาอ่านให้ลูกหลานฟังดูก่อน ถ้าเสียงส่วนใหญ่บอกว่าบทร้อยแก้วซาบซึ้งกว่าดีกว่าบทร้อยกรองก็ใช้บทร้อยแก้วไปเลย แต่ความเห็นของพ่อครูว่า บทร้อยแก้วเราได้บรรจงเขียนประวัติของผู้ตายแล้ว คำไว้อาลัยจึงน่าจะเป็นบทร้อยกรอง แต่ถ้าคุณตัดสินใจจะเขียนคำไว้อาลัยเป็นบทร้อยแก้วก็ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใดครับ
ที่จะนำสคริปต์เรื่องนี้ไปตัดต่อแต่งเติมเสริมนี่นั้นโน้นนู้นเพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้นถูกต้องแล้ว เพราะข้อเขียนของพ่อครูไม่ใช่ตำรา มีผิดบ้างถูกบ้าง เหมาะสมบ้างไม่เหมาะสมบ้างแล้วแต่มุมมอง พ่อครูอนุญาตด้วยความยินดียิ่งครับ สวัสดีครับ
การที่มีผู้ให้ความรู้นับว่าเป็นสิ่งดี แต่คนฉลาดต้องรู้จักนำไปประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับงาน ส่วนเรื่องคำว่าผ้ามหาบังสกุล และผ้าไตรบังสกุลนั้น ความเห็นของผมใช้ได้ทั้งสองอย่างไม่มีคำใดผิดเพราะเป็นผ้าบังสกุลชุดใหญ่คือผ้าครบชุด ไม่ใช่ผ้าบังสกุลที่เป็นผ้าเพียงผืนเดียว การอ่านคำว่าบัง -สะ -กุน เป็นภาษาไทย ออกเสียงว่า ปัง- สุ -กุน เป็นภาษาบาลี ขอท่านทั้งหลายอย่าคิดมากลึกซึ้งจนเกินไป แล้วท่านจะดำเนินการด้ายความสบายใจ ทุกท่านต่างก็มีความดีกันทั้งสิ้น สวัสดี
ขอบพระคุณมากค่ะ ดิฉันได้ใช้ตัวอย่างนี้ไปเป็นอ้างอิงในการทำสคริปต์พิธีของที่บ้าน ได้แนวทางก็คิดว่ารอดแล้วค่ะ
ขยายความคำว่า ไตรเปิด กับไตรด้วยครับ
คุณอ่อน ครับ
คำว่าไตรเป็นภาบาลีเป็นคำนามแปลว่า สาม
ส่วนคำว่าเปิดเป็นภาษาไทยและเป็นคำกริยามีความหมายหลายอย่างเช่น
ก. ทําให้สิ่งที่ปิดอยู่เผยออก เช่น เปิดประตู เปิดหนังสือ เปิดผ้าม่าน เปิดตู้เย็น เป็นต้น
ข. ทำให้เครื่องยนต์กลไกทำงาน เช่น เปิดวิทยุ เปิดพัดลม เปิดไฟ เปิดทีวี เป็นต้น
ค. ทําพิธีเป็นประเดิมเพื่อดําเนินกิจการงานหรือให้ใช้ได้เป็นต้น เช่น เปิดร้านใหม่ เปิดถนน เปิดสมาคม เป็นต้น
ง. หนี เช่น ผู้ร้ายเปิดไปไกลแล้ว เซียนโบกถูกตำรวจไล่จับเปิดไปคนละทาง เป็นต้น
คำว่า ไตรเปิด เป็นคำนามที่เกิดจากการรวมคำในภาษาบาลีกับภาษาไทยเข้าด้วยกันคือ ไตร + เปิด แปลตามตัวหนังสือว่า สามเปิด ถ้ามีคำว่าผ้าเข้ามาร่วมด้วยเป็น ผ้าไตรเปิด หมายถึงผ้าสามผืนชุดที่ปิดอยู่เผยออกมาแล้ว คำว่า ไตรเปิด น่าจะเป็นคำศัพท์ที่พิธีกรงานศพบางท่านคิดขึ้นใช้เองเพื่อให้สอดคล้องกับไตรจีวรชุดที่ไม่ได้ห่อหรือแกะห่อพลาสติกออกแล้ว แต่คำว่าไตรเปิดไม่มีทั้งในพระไตรปิฎกและพจนานุกรม พิธีกรควรนำมาใช้หรือไม่ก็สุดแท้จะพิจารณาเห็นสมควร ส่วนความเห็นของพ่อครูว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามเป็นธรรมดา